Coronavirus: ทำไมคุณต้องลงมือทำทันที

Ken Mallikamas
Tomas Pueyo
Published in
9 min readApr 2, 2020

นักการเมือง ผู้นำชุมชน และผู้นำธุรกิจ: คุณควรทำอะไร เมื่อไหร่

อัปเดตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 19 มีค 2020 ตัวเลขในชาร์ตและข้อมูลบางอย่างเปลี่ยนไปมากแล้วตั้งแต่วันนั้น แต่แนวคิดและข้อเสนอแนะยังใช้ได้ในวันนี้และในอนาคต

บทความฉบับภาษาอังกฤษมียอดวิวมากกว่า 40 ล้านครั้งในสัปดาห์ที่แล้ว และถูกแปลเป็นภาษาต่างๆกว่า 30 ภาษา และนี่คือรายชี่อของนักระบาดวิทยาและผู้เชี่ยวชาญที่รับรองหรือแชร์บทความนี้

บทความต่อไปจากบทความนี้คือ: Coronavirus ทุบด้วยค้อนแล้วต่อด้วยรำวง

ผู้เขียนบทความภาษาอังกฤษ Tomas Pueyo

แปลเป็นไทยโดย Ken Mallikamas

(อาจไม่เห็นลิงค์บางลิงค์เมื่อใช้Safari โอเคถ้าใช้ Chrome)

เวลาอ่านประมาณ 27 นาที

— — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — — —

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะ Coronavirus อาจทำให้การตัดสินใจว่าจะทำอะไรในวันนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก — คุณควรรอข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ หรือจะทำอะไรวันนี้เลย ถ้าคิดจะทำ จะทำอะไรล่ะ?

นี่คือสิ่งที่เราจะคุยกันในบทความนี้ เราจะดูชาร์ต ข้อมูล และโมเดลต่างๆ และแหล่งข้อมูลเหล่านี้มาจากมากมายหลายแห่ง:

  • จะมี Coronavirus ในพื้นที่ของคุณกี่เคส?
  • จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเคสเหล่านี้เกิดขึ้นมาจริงๆ?
  • คุณควรทำอะไร?
  • เมื่อไหร่?

นี่คือสิ่งที่คุณจะได้ไปเมื่อคุณอ่านบทความนี้จบ:

Coronavirus กำลังมาหาคุณ

มันมาด้วยความเร็วแบบทวีคูณ (Exponential): มาช้าๆก่อน แล้วพุ่งปรี๊ด

หน่วยเวลาจะเป็นวัน อาจถึงหนึ่งหรือสองสัปดาห์

เมื่อมันมาถึง ระบบสาธารณะสุขของคุณจะล่ม

พลเมืองของคุณจะได้รับดูแลตามทางเดินในตึก

เจ้าหน้าการแพทย์จะเหนื่อยล้า บ้างจะสติแตก บางคนจะตาย

พวกเขาจะต้องตัดสินใจว่าคนไข้คนไหนจะได้รับออกซิเจน คนไหนจะตาย

วิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้คือต้องวางมาตรการแยกตัวทางสังคม (Social Distancing ซึ่งจริงๆแล้วคือ Physical Distancing) และต้องทำวันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้

นั่นหมายถึงการกักตัวคนให้อยู่ในบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้

และประชาชนจะต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตาม

ในฐานะนักการเมือง ผู้นำชุมชน หรือผู้นำธุรกิจ คุณมีอำนาจและความรับผิดชอบในการป้องกันปัญหานี้

ความกลัวที่คุณอาจมีในวันนี้: ถ้าฉันทำมากเกินไปล่ะ? ผู้คนจะหัวเราะเยาะฉันไหม? จะโกรธฉันไหม? ฉันจะดูโง่หรือไม่? จะดีกว่าไหมถ้ารอให้คนอื่นทำก่อนแล้วฉันค่อยตาม? ฉันจะทำร้ายเศรษฐกิจมากเกินไปหรือไม่?

แต่ใน 2–4 สัปดาห์เมื่อโลกทั้งโลกอยู่ในช่วงล็อคดาวน์ เวลาที่ใช้ไปกับการแยกตัวทางสังคมนั้นจะช่วยชีวิตผู้คนมากมาย ผู้คนจะไม่วิพากษ์วิจารณ์คุณอีกต่อไป แต่พวกเขาจะขอบคุณที่คุณตัดสินใจได้ถูกต้อง

โอเค เรามาดูรายละเอียดกัน

1. มี Coronavirus กี่เคสในพื้นที่ของคุณ?

จำนวนผู้ป่วยทั้งหมดเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนกระทั่งจีนหยุดไวรัสได้ แต่ในที่สุดมันก็รั่วไหลออกไปนอกจีน และตอนนี้มันระบาดไปทั่วโลกโดยที่ไม่มีใครหยุดได้

ณ วันนี้ เคสส่วนใหญ่เกิดจากอิตาลี อิหร่าน และเกาหลีใต้

มีจำนวนเคสมากในเกาหลีใต้ อิตาลี และอิหร่าน จนทำให้ยากที่จะดูประเทศอื่นๆในชาร์ต ลองซูมดูที่มุมด้านล่างขวาของชาร์ตนี้

มีหลายสิบประเทศที่มีอัตราการเติบโตแบบทวีคูณ ณ วันนี้ ส่วนใหญ่เป็นประเทศตะวันตก

ถ้าอัตราการเติบโตยังเป็นแนวนี้ต่อไป อีกเพียงสัปดาห์เดียวชาร์ตจะดูเป็นแบบนี้:

หากคุณต้องการเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น และวิธีป้องกันไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น คุณต้องเอาบทเรียนของประเทศที่ผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้วมาศึกษา นี่คือประเทศจีน ประเทศตะวันออกที่มีประสบการณ์โรคซาร์ส และอิตาลี

ประเทศจีน

ที่มา: การวิเคราะห์โดย โทมัส ปวยโย จากชาร์ตของวารสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน ซึ่งมีที่จากข้อมูลผู้ป่วยจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีน

นี่เป็นหนึ่งในชาร์ตที่สำคัญที่สุด

แถบสีเหลืองในชาร์ตแสดงจำนวนผู้ป่วยรายวันของทางการในมณฑลหูเป่ย: มีผู้ป่วยกี่คนในวันนั้นที่ผลตรวจออกมาเป็นบวก

แถบสีเทาแสดงจำนวนเคสรายวันของโคโรนาไวรัส นี่คือ *จำนวนเคสที่แท้จริง* CDCของจีนทำข้อมูลนี้จากการขอให้ผู้ป่วยบอกมาว่าเมื่อเริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อไหร่

จุดสำคัญตรงนี้คือ เราไม่รู้จำนวนเคสที่แท้จริงในขณะนั้น เรามารู้ก็ต่อเมื่อเรามองย้อนไปข้างหลัง: เจ้าหน้าที่ไม่มีทางรู้ว่ามีคนทั้งหมดกี่คนที่เพิ่งเริ่มมีอาการ พวกเขาจะรู้ก็ต่อเมื่อคนเหล่านี้ไปพบแพทย์และได้รับการวินิจฉัย

นี่หมายความว่าแถบสีเหลืองคือสิ่งที่เจ้าหน้าที่รู้ และแถบสีเทาคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

ในวันที่ 21 มกราคมจำนวนเคสที่วินิจฉัยใหม่ (สีเหลือง) กำลังขยายตัว: มีผู้ป่วยใหม่ประมาณ 100 ราย แต่ในความเป็นจริงมีเคสใหม่เกิดขึ้น 1,500 เคสในวันนั้น เติบโตแบบ ทวีคูณ (Exponential) แต่เจ้าหน้าที่ไม่รู้สิ่งนี้ สิ่งที่พวกเขารู้ก็คือมีผู้ป่วยรายใหม่ 100 รายที่ป่วยด้วยโรคนี้ในพริบตา รู้แค่นี้เท่านั้น

อีกสองวันต่อมาเจ้าหน้าที่ปิดตัวหวู่ฮั่น ณ วันนั้น จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่ได้รับการวินิจฉัยมีประมาณ ~ 400 จำตัวเลขนี้ไว้ครับ: พวกเขาตัดสินใจปิดเมืองโดยมีผู้ป่วยรายใหม่เพียง 400 รายในหนึ่งวัน ในความเป็นจริงมีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้น 2,500 รายในวันนั้น แต่พวกเขายังไม่รู้สิ่งนี้

วันต่อมาอีก 15 เมืองในมณฑลหูเป่ยปิดตัวลง

จนถึงวันที่ 23 มกราคมเมื่อหวู่ฮั่นปิดคุณดูแถบสีเทาในชาร์ต: นี่คือการเติบโตแบบทวีคูณ จำนวนเคสที่แท้จริงระเบิดขึ้นแล้ว ทันทีที่หวู่ฮั่นปิดตัวลง เคสก็เร่ิมชะลอตัว ในวันที่ 24 มกราคม เมื่ออีก 15 เมืองปิดตัวลง จำนวนเคสที่แท้จริง (แถบสีเทา) เริ่มหยุด สองวันต่อมาจำนวนเคสจริงขึ้นถึงจุดสูงสุด และเร่ิมลงนับแต่นั้นมา

โปรดสังเกตุว่าแถบสีส้ม (เคสที่ทางการรู้) ยังคงเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณอีก 12 วัน ดูเหมือนว่าสิ่งนี้ยังคงระบาดอยู่ แต่ความจริงแล้วเคสเหล่านี้มาจากผู้ป่วยที่มีอาการมากขึ้นและไปพบแพทย์มากขึ้น รวมทั้งระบบกระบวนการที่ใช้วินิจฉัยที่ดีขึ้น

แนวคิดที่แยกแยะระหว่างจำนวนเคสที่ทางการรู้ และจำนวนเคสที่แท้จริง เป็นแนวคิดที่สำคัญ เก็บจุดไว้ในใจก่อนนะครับ เราจะกลับมาคุยเรื่องนี้กันอีกที

ส่วนที่เหลือของภูมิภาคในประเทศจีนได้รับการประสานงานอย่างดีจากรัฐบาลกลางดังนั้นพวกเขาจึงใช้มาตรการเร่งด่วนและรุนแรง และนี่คือผลลัพธ์:

เส้นแบนทุกเส้นมาจากมณฑลต่างๆของจีนที่มีผู้ป่วยเป็นจาก Coronavirus ทุกมณฑลมีศักยภาพที่จะกลายเป็นเส้นทวีคูณ แต่ด้วยมาตรการที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมกราคมจีนสามารถหยุดไวรัสก่อนที่มันจะแพร่กระจายมากกว่านี้

ในขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ อิตาลี และอิหร่านมีเวลาเต็มเดือนที่จะเรียนรู้และเตรียมตัว แต่ก็ไม่ทำ เส้นเคสสะสมของประเทศเหล่านี้เริ่มการเติบโตแบบทวีคูณเหมือนที่มณฑลหูเป่ยและมณฑลอื่นๆของจีนก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์แต่ก็เอาไม่อยู่

ประเทศตะวันออก

เคสผู้ป่วยของเกาหลีใต้พุ่งกระฉูด แต่คุณสงสัยหรือไม่ว่าทำไมญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ไทย หรือฮ่องกงจึงไม่ระบาดมาก?

ไต้หวันไม่อยู่ในชาร์ตนี้เพราะไม่มีเคสถึง 50 เคสที่เราใช้เป็นจำนวนเคสขั้นต่ำ

ประเทศเหล่านี้ทั้งหมดถูกโรคซาร์สโจมตีในปี 2546 และพวกเขาเรียนรู้จากประสพการณ์นี้ ว่าไวรัสสามารถแพร่ตัวได้รุนแรงอย่างไร และมีอันตรายถึงชีวิตได้แค่ไหน ดังนั้นประเทศเหล่านี้จึงจริงจังในการรับมือ นี่คือเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมเส้นเคสสะสมในชาร์ตของประเทศเหล่านี้ซึ่งถึงแม้จะเริ่มต้นการแพร่เชื้อเร็วจึงไม่กลายเป็นเส้นที่สะท้อนถึงการแพร่ในระดับทวีคูณ

จนถึงจุดนี้ เราคุยกันถึงเรื่องการแพร่กระจายของ coronavirus ในประเทศที่รัฐบาลตระหนักถึงภัยคุกคามและสามารถสร้างคอกล้อมไวรัสไว้ได้ ส่วนในประเทศอื่นๆนั้น สถานการณ์แตกต่างจากนี้โดยสิ้นเชิง

ก่อนที่เราจะข้ามไปดูเรื่องราวจากประเทศอื่นๆ ขอพูดถึงเกาหลีใต้หน่อย: ประเทศนี้อาจเป็นค่าผิดปรกติทางสถิติ (Outlier) เกาหลีใต้เอาอยู่เมื่อมีผู้ป่วย 30 รายแรก แต่ผู้ป่วย 31เป็นตัวแพร่ระดับเอก (Super spreader) ที่แพร่เชื้อต่อให้คนหลายพันคน เนื่องจากไวรัสแพร่กระจายก่อนที่ผู้คนจะแสดงอาการ กว่าเจ้าหน้าที่จะรู้ตัว เชื้อก็แพร่กระจายไปมากแล้ว พวกเขายังรับเคราะห์จนถึงเดี๋ยวนี้ อย่างไรก็ตามความพยายามระงับการระบาดของเกาหลีใต้แสดงให้เห็นถึงผลงานอันยอดเยี่ยม ในขณะนี้อิตาลีมีเคสมากกว่าเกาหลีใต้แล้ว และอิหร่านจะแซงเกาหลีในวันพรุ่งนี้ (10 มีค 2020)

ประเทศเหล่านี้ทั้งหมดถูกโรคซาร์สโจมตีในปี 2546 และพวกเขาเรียนรู้จากประสพการณ์นี้ ว่าไวรัสสามารถแพร่ตัวได้รุนแรงอย่างไร และมีอันตรายถึงชีวิตได้แค่ไหน ดังนั้นประเทศเหล่านี้จึงจริงจังในการรับมือ นี่คือเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมเส้นเคสสะสมในชาร์ตของประเทศเหล่านี้ซึ่งถึงแม้จะเริ่มต้นการแพร่เชื้อเร็วจึงไม่กลายเป็นเส้นที่สะท้อนถึงการแพร่ในระดับทวีคูณ

จนถึงจุดนี้ เราคุยกันถึงเรื่องการแพร่กระจายของ coronavirus ในประเทศที่รัฐบาลตระหนักถึงภัยคุกคามและสามารถสร้างคอกล้อมไวรัสไว้ได้ ส่วนในประเทศอื่นๆนั้น สถานการณ์แตกต่างจากนี้โดยสิ้นเชิง

ก่อนที่เราจะข้ามไปดูเรื่องราวจากประเทศอื่นๆ ขอพูดถึงเกาหลีใต้หน่อย: ประเทศนี้อาจเป็นค่าผิดปรกติทางสถิติ (Outlier) เกาหลีใต้เอาอยู่เมื่อมีผู้ป่วย 30 รายแรก แต่ผู้ป่วย 31เป็นตัวแพร่ระดับเอก (Super spreader) ที่แพร่เชื้อต่อให้คนหลายพันคน เนื่องจากไวรัสแพร่กระจายก่อนที่ผู้คนจะแสดงอาการ กว่าเจ้าหน้าที่จะรู้ตัว เชื้อก็แพร่กระจายไปมากแล้ว พวกเขายังรับเคราะห์จนถึงเดี๋ยวนี้ อย่างไรก็ตามความพยายามระงับการระบาดของเกาหลีใต้แสดงให้เห็นถึงผลงานอันยอดเยี่ยม ในขณะนี้อิตาลีมีเคสมากกว่าเกาหลีใต้แล้ว และอิหร่านจะแซงเกาหลีในวันพรุ่งนี้ (10 มีค 2020)

ประเทศเหล่านี้ทั้งหมดถูกโรคซาร์สโจมตีในปี 2546 และพวกเขาเรียนรู้จากประสพการณ์นี้ ว่าไวรัสสามารถแพร่ตัวได้รุนแรงอย่างไร และมีอันตรายถึงชีวิตได้แค่ไหน ดังนั้นประเทศเหล่านี้จึงจริงจังในการรับมือ นี่คือเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมเส้นเคสสะสมในชาร์ตของประเทศเหล่านี้ซึ่งถึงแม้จะเริ่มต้นการแพร่เชื้อเร็วจึงไม่กลายเป็นเส้นที่สะท้อนถึงการแพร่ในระดับทวีคูณ

จนถึงจุดนี้ เราคุยกันถึงเรื่องการแพร่กระจายของ coronavirus ในประเทศที่รัฐบาลตระหนักถึงภัยคุกคามและสามารถสร้างคอกล้อมไวรัสไว้ได้ ส่วนในประเทศอื่นๆนั้น สถานการณ์แตกต่างจากนี้โดยสิ้นเชิง

ก่อนที่เราจะข้ามไปดูเรื่องราวจากประเทศอื่นๆ ขอพูดถึงเกาหลีใต้หน่อย: ประเทศนี้อาจเป็นค่าผิดปรกติทางสถิติ (Outlier) เกาหลีใต้เอาอยู่เมื่อมีผู้ป่วย 30 รายแรก แต่ผู้ป่วย 31เป็นตัวแพร่ระดับเอก (Super spreader) ที่แพร่เชื้อต่อให้คนหลายพันคน เนื่องจากไวรัสแพร่กระจายก่อนที่ผู้คนจะแสดงอาการ กว่าเจ้าหน้าที่จะรู้ตัว เชื้อก็แพร่กระจายไปมากแล้ว พวกเขายังรับเคราะห์จนถึงเดี๋ยวนี้ อย่างไรก็ตามความพยายามระงับการระบาดของเกาหลีใต้แสดงให้เห็นถึงผลงานอันยอดเยี่ยม ในขณะนี้อิตาลีมีเคสมากกว่าเกาหลีใต้แล้ว และอิหร่านจะแซงเกาหลีในวันพรุ่งนี้ (10 มีค 2020)

รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา

คุณเห็นการระบาดของประเทศในโลกตะวันตกแล้ว และแนมโน้มของการระบาดเพียงสัปดาห์เดียวต่อไปว่าแย่แค่ไหน ทีนี้ลองนึกดูว่าถ้าความพยายามในการระงับการระบาดไม่ได้ผลเหมือนที่หวู่ฮั่นหรือในประเทศตะวันออกอื่นๆ การระบาดจะใหญ่หลวงเพียงใด

ลองมาดูสถานการณ์บางแห่งในประเทศตะวันตก เช่นรัฐวอชิงตัน, บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก, ปารีส, และมาดริด

รัฐวอชิงตันคือหวู่ฮั่นของสหรัฐ จำนวนผู้ป่วยกำลังเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ปัจจุบันอยู่ที่ 140 เคส

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นในช่วงต้น อัตราการตายสูงทะลุหลังคา ในเวลาหนึ่งรัฐนี้มีผู้ป่วย 3 รายและเสียชีวิตหนึ่งราย

เรารู้จากที่อื่นที่มีโรคนี้ระบาดว่าอัตราการตายของ Coronavirus นั้นอยู่ระหว่าง 0.5% ถึง 5% (มากกว่านั้นในภายหลัง) แต่ทำไมอัตราการเสียชีวิตจึงเป็น 33% ที่รัฐนี้?

เมื่อคิดดูเรามาพบทีหลังว่าไวรัสแพร่กระจายอย่างไม่ถูกตรวจพบเป็นเวลาหลายสัปดาห์ จำนวนเคสที่แท้จริงไม่ได้มีเพียง 3 เคส แต่เจ้าหน้าที่รู้แค่ 3 เท่านั้น และหนึ่งในนั้นเสียชีวิต

นี่เป็นเหมือนแถบสีส้มและสีเทาในประเทศจีนในชาร์ตก่อน: ที่รัฐวอชิงตัน เจ้าหน้าที่รู้เพียงแค่แถบสีส้ม (เคสทางการ) และตัวเลขอาจดูดี แต่ในความเป็นจริงอาจมีหลายร้อยรายที่ป่วย

นี่แหละคือปัญหา: คุณรู้เฉพาะจำนวนเคสที่เป็นทางการเท่านั้น แต่ไม่รู้จำนวนเคสที่แท้จริง แต่คุณจำเป็นต้องรู้จำนวนเคสจริง คุณจะประมาณค่าของจำนวนเคสจริงได้อย่างไร เรามีวิธีประมาณค่านี้สองวิธี และเรามีโมเดลสำหรับทั้งสองวิธี คุณสามารถใช้โมเดลกับตัวเลขของคุณได้ (ลิงก์โดยตรงไปที่สำเนาของโมเดล )

วิธีแรกคือดูจากจำนวนผู้เสียชีวิต หากคุณมีผู้เสียชีวิตในภูมิภาคของคุณ คุณสามารถใช้ตัวเลขเพื่อคาดเดาจำนวนผู้ป่วยที่แท้จริงในปัจจุบันได้ เรารู้ว่าผู้ป่วยใช้เวลานานแค่ไหนนับจากวันที่ติดไวรัสไปถึงวันที่เสียชีวิตโดยเฉลี่ย ( 17.3 วัน ) นั่นหมายความว่าคนที่เสียชีวิตในวันที่ 29 กพ. ในรัฐวอชิงตันอาจติดเชื้อประมาณวันนี่ 12 กพ.

จากนั้น เรารู้อัตราการเสียชีวิต สมมติว่าเรา ใช้ 1% (เราจะวกมาคุยกันถึงรายละเอียดของตัวเลขนี้อีกที่ในภายหลัง) นั่นหมายความว่าประมาณวันที่ 12 กพ. มีอยู่แท้จริงอยู่แล้วประมาณ ~ 100 รายในพื้นที่ (ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวที่ลงเอยด้วยการตาย 17.3 วันต่อมา)

ถึงตอนนี้ใช้ “เวลาที่เคสเพิ่มเป็นสองเท่าโดยเฉลี่ย” (Average Doubling Time) ของ Coronavirus (หมายถึงเวลาที่จำนวนเคสสะสมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 6.2 นั่นหมายความว่าในระยะเวลา 17 วันที่คนไข้คนนี้จะตาย จำนวนเคสต้องเพิ่มขึ้น ~ 8 เท่า (= 2 ^ (17/6)) นั่นหมายความว่าหากคุณไม่ได้วินิจฉัยทุกเคสที่มี เมื่อมีผู้ตายหนึ่งคน นั่นหมายถึงคุณมี 800 เคสที่แท้จริงในวันนี้

รัฐวอชิงตันมีผู้เสียชีวิต 22 รายในวันนี้ ด้วยการคำนวณอย่างเร็วแบบข้างต้น คุณจะเห็นได้ว่าเคสโคโรนาไวรัสที่แท้จริงคือประมาณ ~ 16,000 รายในวันนี้ มากกว่าเคสที่เป็นทางการในอิตาลีและอิหร่านรวมกัน

ถ้าเราดูรายละเอียด เราจะพบว่า 19 รายของผู้เสียชีวิตเหล่านี้มาจากกลุ่มเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าไวรัสอาจไม่แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง ดังนั้นถ้าเราพิจารณาผู้ที่เสียชีวิตทั้ง 19 คนเป็นคนเดียว จำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในรัฐคือ 4 เมื่อเราอัปเดตโมเดลด้วยตัวเลขนี้ เราจะเห็นว่าจำนวนเคสที่แท้จริงมีประมาณ 3,000 รายในวันนี้ นี่คือตัวอย่างของการประมาณวิธีแรก

วิธีที่สองมาจาก Trevor Bedford ซึ่งเป็นวิธีที่ดูที่ไวรัสและการกลายพันธุ์ของพวกเพื่อประเมินจำนวนผู้ป่วยในปัจจุบัน

เมื่อใช้วิธีนี้ สรุปได้ว่ามีแนวโน้มที่จำนวนเคส ~ 1,100 ในรัฐวอชิงตันในขณะนี้

วิธีเหล่านี้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ทั้งสองวิธีชี้ไปในทางเดียวกัน: เราไม่ทราบจำนวนเคสที่แท้จริง แต่ทราบว่าสูงกว่าจำนวนเคสที่เรารู้มาก

บริเวณอ่าวแซนแฟรนซิสโก

จนถึงวันที่ 8 มีค. พื้นที่นี้ไม่มีผู้เสียชีวิต ทำให้ยากที่จะทราบว่าจำนวนเคสที่แท้จริง จำนวนเคสที่รู้อย่างเป็นทางการมี 86 เคส แต่จำนวนผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยในสหรัฐฯต่ำมาก เพราะไม่มีอุปกรณ์เพียงพอที่จะเทสต์ ประเทศนี้ตัดสินใจสร้างชุดทดสอบของตัวเองซึ่งไม่สามารถใช้งานได้

นี่คือจำนวนการทดสอบที่ดำเนินการในประเทศต่าง ๆ ภายในวันที่ 3 มีนาคม

แหล่งที่มาของตัวเลข

ประเทศตุรกีซึ่งไม่มีเชื้อ Coronavirus มีการเทสต์มากกว่า10เท่าของสหรัฐเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร วันนี้สถานการณ์ในสหรัฐไม่ดีขึ้นมากนักโดยมีการเทสต์ประมาณ 8,000 ครั้งในสหรัฐอเมริกาซึ่งหมายความว่ามีผู้ถูกเทสต์ประมาณ 4,000คน

ในกรณีนี้คุณสามารถดูสัดส่วนของจำนวนเคสที่รู้กับจำนวนเคสแท้จริงได้ สำหรับบริเวณนี้พวกเขาทำการเทสต์ทุกคนที่เคยเดินทางหรือมีการติดต่อกับผู้เดินทาง ซึ่งหมายความว่าเคสที่พวกเขารู้ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการเดินทาง แต่ไม่มีใครรู้ถึงจำนวนเคสที่แพร่เองในชุมชน (Community spread) ถ้าเราสามารถประมาณสัดส่วนของเคสที่ระบาดในชุมชน และเคสที่มาจากการเดินทาง เราก็จะสามารถรู้ว่ามีเคสที่แท้จริงมีจำนวนเท่าใด

เกาหลีใต้มีการเก็บข้อมูลนี้ที่ยอดเยี่ยม และสัดส่วนนี้คือ 86% กล่าวคือจำนวนเคสที่มาจากการระบาดในชุนชนคือ 86% ของจำนวนเคสที่แท้จริง

นี่แปลว่าถ้าบริเวณอ่าวแซนแฟรนซิลโกมีผู้ป่วย 86 รายในวันนี้ อาจเป็นไปได้ว่าจำนวนเคสที่แท้จริงคือ ~ 600 (=86/0.14)

ฝรั่งเศสและปารีส

ฝรั่งเศสอ้างว่ามีผู้ป่วย 1,400 รายในวันนี้และเสียชีวิตแล้ว 30 ราย เมื่อใช้สองวิธีคำนวนเคสจริงด้านบน ผลลัพธ์อยู่ระหว่าง 24,000 ถึง 140,000

จำนวนผู้ป่วย Coronavirus ที่แท้จริงในฝรั่งเศสในปัจจุบันมีแนวโน้มอยู่ระหว่าง 24,000 ถึง 140,000 ราย

ขอย้ำอีกครั้งว่า: จำนวนเคสที่แท้จริงในฝรั่งเศสน่าจะอยู่ระหว่างหนึ่งถึงสอง order of magnitude มากกว่าที่จำนวนเคสของทางการ

ถ้าไม่เชื่อ เราวกมาดูชาร์ตจากหวู่ฮั่นกันอีกครั้ง

ที่มา: การวิเคราะห์โดย Tomas Pueyo ในแผนภูมิและข้อมูลจากวารสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน

หากคุณเอาตัวเลขจากแถบสีส้มตั้งแต่เริ่มจนถึงวันที่ 22 มค. จำนวนเคสคือ 444 เคส ถ้าทำอย่างเดียวกันกับตัวเลขจากแถบสีเทาจะได้ ~ 12,000 เคส ดังนั้นเมื่อหวู่ฮั่นคิดว่าเค้ามี 444 เคส จริงๆแล้วมีผู้ติดเชื้อมากกว่านั้น 27 เท่า หากฝรั่งเศสคิดว่ามี 1,400 เคส จริงๆแล้วผู้ติดเชื้ออาจมีเป็นหมื่นๆคน

เมื่อใช้วิธีคิดเดียวกันนี้กับตัวเลขจากปารีสซึ่งมีจำนวนผู้ป่วย 30 ราย จำนวนผู้ป่วยที่แท้จริงน่าจะอยู่ในระดับหลายร้อยคน หรืออาจจะเป็นหลายพันคน เคสในภูมิภาค Ile-de-France ซึ่งมีประมาณ 300 เคส จริงๆอาจมีผู้ป่วยเกินหมื่นแล้ว

สเปนและมาดริด

30 ราย) นั่นหมายความว่าถ้าการคำนวนแบบเดียวกันถูกต้อง สเปนอาจมีเคสจริงมากกว่า 20,000 เคส

ในภูมิภาค Comunidad de Madrid ของสเปน มีผู้ป่วย 600 รายและผู้เสียชีวิต 17 คนจำนวนเคสที่แท้จริงน่าจะอยู่ระหว่าง 10,000 ถึง 60,000

หากคุณอ่านข้อมูลเหล่านี้และบอกตัวเองว่า “เป็นไปไม่ได้ นี่ไม่เป็นความจริง” ก็ขอให้คิดอย่างนี้: แม้ด้วยจำนวนเคสที่รู้ หวู่ฮั่นก็ถูกล็อคดาวน์แล้ว

จำนวนเคสที่เราเห็นในวันนี้ในประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา, สเปน, ฝรั่งเศส, อิหร่าน, เยอรมัน, ญี่ปุ่น, เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก, สวีเดน, หรือสวิตเซอร์แลนด์ หวู่ฮั่นถูกล็อคดาวน์ไปแล้ว

และถ้าคุณบอกตัวเองว่า: “หูเป่ยเป็นเพียงหนึ่งในมณฑลของจีน” ขอเตือนคุณว่ามณฑลนี้มีประชากรเกือบ 60 ล้านคน มากกว่าประชากรของสเปน และน้อยกว่าของฝรั่งเศสไม่มาก

2. จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจำนวนเคส Coronavirus เกิดขึ้นจริงๆ?

Coronavirus อยู่กับเราแล้ว มันยังซ่อนตัวอยู่ และจะเติบโตแบบทวีคูณ

จะเกิดอะไรขึ้นในประเทศของเราเมื่อมันถีบตัวพุ่งขึ้นมา? เรื่องนี้รู้ได้โดยง่าย เพราะมีการระบาดหลายแห่งแล้ว ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือหูเป่ยและอิตาลี

อัตราการเสียชีวิต

องค์การอนามัยโลก (WHO) ใช้ 3.4% เป็นอัตราการเสียชีวิต (% คนที่ติดเชื้อ Coronavirus และตาย) ตัวเลขนี้อยู่นอกบริบท (out of context) ฉะนั้นเราขออธิบายก่อน

อัตราการเสียชีวิตขึ้นอยู่กับประเทศและช่วงเวลา: ระหว่าง 0.6% ในเกาหลีใต้และ 4.4% ในอิหร่าน แล้วมันคืออะไรแน่ล่ะ เราสามารถใช้เคล็ดลับตอบโจทย์นี้ได้

สองวิธีที่คุณสามารถคำนวณอัตราการเสียชีวิตได้คือ 1. Deaths / Total Cases และ 2. Death / Closed Cases วิธีแรกจะทำให้การประเมิณของเราต่ำไป เพราะเคสที่ยังเปิดอยู่จำนวนมากอาจจบลงด้วยความตาย วิธีที่สองจะนำไปสู่การประเมินค่าที่สูงไป เพราะเคสที่จบด้วยความตายน่าจะปิดเร็วกว่าเคสที่จบด้วยการฟื้นตัว

ถ้าเราดูตัวเลขที่เปลี่ยนไปตามเวลา ตัวเลขจากทั้งสองวิธีนี้จะจบลงเป็นตัวเลขเดียวกันเมื่อทุกเคสถูกปิดลง ดังนั้นหากคุณคาดอนาคตโดยใช้เทรนจากตัวเลขที่มีอยู่ คุณสามารถคาดเดาได้ว่าอัตราการเสียชีวิตสุดท้ายจะเป็นอย่างไร

นี่คือสิ่งที่คุณเห็นในข้อมูล อัตราการตายตอนนี้ของจีนอยู่ระหว่าง 3.6% และ 6.1% หากคุณคาดการณ์อนาคตโดยใช้เส้นเทรน ผลลัพธ์ดูเหมือนจะมาจบกันที่ ~ 3.8% -4% นี่เป็นสองเท่าของอัตราที่ประมาณกันในปัจจุบัน และแย่กว่าไข้หวัดใหญ่ธรรมดาถึง 30 เท่า

แต่อัตราการตายนี้มาจากความเป็นจริงที่แตกต่างกันมากระหว่างสองสถานที่: หูเป่ยและส่วนที่เหลือของจีน

เส้นอัตราการเสียชีวิตในมณฑลหูเป่ยอาจจะมารวมกันที่ 4.8% สำหรับส่วนที่เหลือของจีนมีแนวโน้มที่จะรวมกันที่ ~ 0.9%:

เราทำชาร์ตจากตัวเลขของอิหร่าน อิตาลี และเกาหลีใต้ด้วย นี่เป็นสามประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากพอที่จะคาดคะแนแบบนี้ได้

อัตราการตายของอิหร่านและอิตาลีโดยวิธี Deaths / Total Cases อยู่ประมาณ 3% -4% เราเดาว่าท้ายที่สุดตัวเลขของพวกเขาจะจบลงที่ประมาณนี้

เกาหลีใต้เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจที่สุดเนื่องจากตัวเลขอัตราการตายจากสองวิธีไม่ประติดประต่อกันเลย: Deaths / Total Cases มีเพียง 0.6% แต่ Deaths / Closed Cases สูงถึง 48% เราคิดว่ามีหลายสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาหลี สิ่งแรกคือเกาหลีใต้เทสต์คนมาก (เมื่อมีจำนวนเคสมาก อัตราการเสียชีวิตก็จะดูต่ำ) และเกาหลีอาจปล่อยให้เคสเปิดอยู่นานกว่าจะปิด (ปิดเคสอย่างรวดเร็วในกรณีที่ผู้ป่วยตาย) ประการที่สองจากชาร์ต 17.b พวกเขามีเตียงในโรงพยาบาลจำนวนมาก นอกจากนี้อาจมีสาเหตุอื่นที่เราไม่รู้ ที่แน่ๆคืออัตราการเสียชีวิตอยู่ประมาณ 0.5% ตั้งแต่เริ่มแรก และคงจะอยู่ประมาณนี้ต่อไป เพราะน่าจะได้รับอิทธิพลจากระบบสาธารณะสุขและการจัดการวิกฤตที่ดีของเกาหลีใต้

ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องล่าสุดคือกรณีของเคสจากเรือ Diamond Princess: มีผู้ป่วย 706 ราย ผู้เสียชีวิต 6 ราย และผู้หายป่วย 100 ราย อัตราการเสียชีวิตจะอยู่ระหว่าง 1% ถึง 6.5%

อายุของผู้ป่วยในแต่ละประเทศจะส่งผลกระทบด้วย เนื่องจากผู้สูงอายุมีอัตราการตายสูงกว่าผู้มีอายุน้อย ประเทศที่มีประชากรสูงอายุมากอย่างญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบโดยเฉลี่ยสูงกว่าประเทศที่อายุเฉลี่ยน้อยกว่าอย่างไนจีเรีย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสภาพอากาศโดยเฉพาะความชื้นและอุณหภูมิก็อาจมีผลกระทบต่อการระบาดและอัตราการตาย แต่วันนี้เรายังไม่เห็นชัดเจน

ณ วันนี้ นี่คือสิ่งที่คุณสามารถสรุปได้คือ

  • ประเทศที่เตรียมตัวรับมือดี จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 0.5% (เกาหลีใต้) ถึง 0.9%(มณฑลของจีนนอกหูเป่ย)
  • ประเทศที่ระบบสาธารณะสุขล่ม จะมีอัตราการเสียชีวิตระหว่าง ~ 3% ถึง 5%

พูดอีกอย่างหนื่งก็คือ ประเทศที่ตัดสินใจดำเนินการอย่างรวดเร็วจะสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงได้สิบเท่า และนี่เพียงแค่นับอัตราการตาย การดำเนินการอย่างรวดเร็วจะช่วยลดจำนวนเคสลงอย่างมาก ฉะนั้นการลงมือดำเนินการอย่างรวดเร็วไม่ควรเป็นสิ่งที่ต้องคิดมาก

ประเทศที่ดำเนินการอย่างรวดเร็วจะลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงอย่างน้อย 10 เท่า

แล้วประเทศจะต้องเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง มาดูกัน

สิ่งที่จะกดดันระบบ

ผู้ป่วยประมาณ 20% จะต้องการการรักษาในโรงพยาบาล ประมาณ 5% ของผู้ป่วยต้องเข้าห้องผู้ป่วยหนัก (ICU) และประมาณ 2.5% ต้องการความช่วยเหลืออย่างสูงโดยต้องใช้เครื่องมือพิเศษเช่นเครื่องช่วยหายใจหรือ ECMO ( Extra Corporeal Membrane Oxygenation)

ปัญหาคือเครื่องช่วยหายใจและ ECMO ไม่สามารถถูกผลิตหรือซื้อได้โดยง่าย ตามตัวจากเลขสองสามปีที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกามีเครื่อง ECMO ทั้งหมดเพียง 250 เครื่อง

ดังนั้นถ้ามีคนติดเชื้อ 100,000 คน หลายคนก็อยากจะถูกเทสต์ ประมาณ 20,000 จะต้องรักษาในโรงพยาบาล 5,000 ต้องการ ICU และ 1,000 ต้องการเครื่องมือที่เรามีไม่พอในวันนี้ และนี่เพียงจากผู้ป่วย 100,000 รายเท่านั้น

นี่ยังไม่คิดถึงปัญหาอื่นเช่นมาสก์ ประเทศเช่นสหรัฐอเมริกามีมาสก์เพียง 1% เท่านั้นที่จะครอบคลุมความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์ (N95 มี 12 ล้าน, มาสก์ศัลยกรรมมี 30ล้าน เมื่อเทียบกับความต้องการ 3.5พันล้าน) ถ้าเกิดมีเคสจำนวนมากปรากฏขื้นในคราวเดียว จะมีหน้ากากพอสำหรับ 2 สัปดาห์เท่านั้น

ประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ รวมถึงมณฑลอื่นๆของจีนนอกมณฑลหูเป่ย มีการเตรียมตัว และดูแลผู้ป่วยได้ตามที่จำเป็น

แต่ประเทศตะวันตกดูจะค่อนไปในทิศทางเดียวกับหูเป่ยและอิตาลี เกิดอะไรขึ้นที่นั่น?

ระบบสาธารณะสุขที่ล่มเป็นอย่างไร

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหูเป่ยและในอิตาลีเริ่มคล้ายกันอย่างน่าขนลุก หูเป่ยสร้างโรงพยาบาลสองแห่งในสิบวัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังล่มอยู่ดี

ทั้งสองโรงพยาบาลบอกว่ากระแสผู้ป่วยไหลเข้ามาท่วมท้นโรงพยาบาลราวเขื่อนแตก ต้องดูแลคนไข้กันทุกที่ ในทางเดิน ในห้องรอ

เราขอแนะนำกระทู้สั้น Twitter นี้อย่างมาก มันวาดภาพจากอิตาลีในวันนี้ได้ดี

บุคลากรทางแพทย์ใช้อุปกรณป้องกันตัวเองเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพราะมีอุปกรณ์ไม่พอ เป็นผลให้พวกเขาไม่สามารถออกจากพื้นที่ติดเชื้อเป็นเวลาหลายชั่วโมง เมื่อมีโอกาสพัก บุคลากรเหล่านี้ก็เหนื่อยสุดขั้วและขาดน้ำ ไม่มีการทำงานเป็นกะอีกแล้ว หมอที่เกษียณอายุแล้วถูกผลักดันให้กลับมาทำงานเพราะความต้องการมีมาก คนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการพยาบาลได้รับการฝึกอบรมเพียงข้ามคืนเพื่อมาสวมบทบาทที่สำคัญ ทุกคนถูกตามตัวได้เสมอ

ในภาพ Francesca Mangiatordi พยาบาลชาวอิแทเลี่ยนทำงานจนฟุบลงกลางสงครามกับ Coronavirus

พวกเขาทำงานกันแบบนี้ไปจนกว่าจะป่วยเอง ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยเพราะเข้าใกล้ไวรัสอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันเพียงพอ เมื่อไม่สบาย เจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็จะถูกกักกันเป็นเวลา 14 วัน และในระหว่างนี้ก็ช่วยทำงานไม่ได้ กรณีดีที่สุดคือเสียเวลาที่เป็นประโยชน์แก่สังคมไป 2 สัปดาห์ กรณีเลวร้ายที่สุดคือพวกเขาตาย

สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับแพทย์พยาบาล จะเห็นได้ในห้องไอซียู เมื่อความต้องการเครื่องช่วยหายใจหรือ ECMO มีมากกว่าจำนวนเครื่องที่มี และการแชร์กันเป็นไปไม่ได้ บุคลากรทางแพทย์จะต้องพิจารณาว่าจะให้ผู้ป่วยคนไหนใช้เครื่อง นั่นหมายถึงเขาต้องตัดสินใจว่าชีวิตใดจะอยู่ และชีวิตใดจะปล่อยให้ตาย

“หลังจากสองสามวันเราต้องเลือก [ … ] เราไม่สามารถใส่ท่อช่วยหายใจให้ทุกคนได้ เราตัดสินใจตามอายุและสภาวะสุขภาพ ” — Christian Salaroli, MD แพทย์ชาวอิตาเลียน

เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์สวมชุดป้องกันเพื่อดูแลผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรค Coronavirus ในแผนกผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลในหวู่ฮั่นประเทศจีนในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ (China Daily / Reuters) ผ่านทางวอชิงตันโพสต์

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผลักดันให้อัตราการเสียชีวิตกลายเป็น ~ 4% แทนที่จะเป็น ~ 0.5% หากคุณต้องการให้เมืองหรือประเทศของคุณเป็นส่วนหนึ่งของ 4% ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย

ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงสุสาน Behesht Masoumeh ในเมือง Qom ของอิหร่าน ภาพถ่าย: © 2020 Maxar Technologies ผ่านเดอะการ์เดียและนิวยอร์กไทม์ส

3. คุณควรทำอะไร

เหยียบเส้นเคสสะสมให้แบน

ในขณะนี้เรามีการระบาดทั่วโลก เรากำจัดมันไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือลดผลกระทบ

บางประเทศเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ประเทศที่ทำได้ดีที่สุดคือไต้หวัน ทั้งๆที่มีความเชื่อมโยงอย่างยิ่งกับจีนแต่มีเคสน้อยกว่า 50 รายในปัจจุบัน มีบทความล่าสุดชิ้นนึงที่อธิบายถึงมาตรการทั้งหมดที่ไต้หวันใช้ดำเนินการ มุ่งเน้นไปที่การควบคุมล้อมคอกก่อนไวรัสจะแพร่มาก

ไต้หวันสามารถจำกัดวงการระบาดไว้ได้ แต่ประเทศส่วนใหญ่ขาดความเชี่ยวชาญด้านนี้และ ไม่สามารถทำได้ ตอนนี้ประเทศเหล่านั้นก็ต้องใช้อีกวิธีหนึ่งคือ การบรรเทาผลกระทบ โดยการทำให้ไวรัสนี้รุกได้น้อยที่สุด

หากเราลดการติดเชื้อให้ได้มากที่สุด ระบบสาธารณะสุขของเราจะสามารถดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้นมาก ทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลง และถ้าเราสามารถถ่วงเวลาการระบาดออกไปให้นานๆได้ ถึงตอนนั้นอาจมีวัคซีนที่กำจัดความเสี่ยงได้ทั้งหมด ดังนั้นเป้าหมายของเราไม่ใช่การกำจัดการติดเชื้อ Coronavirus แต่เป็นการประวิงเวลาของการระบาดออกไป

flatten-the-curve-smaller.gif

ยิ่งเลื่อนเคสออกไปมากเท่าไร ระบบสาธารณะสุขก็จะทำงานได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น อัตราการตายก็จะลดลง และจะมีประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนก่อนที่จะติดเชื้อมากขึ้น

คำถามคือเราจะทำให้เส้นระบาดแบบลงได้อย่างไร

มาตรการแยกตัวทางสังคม (Social Distancing / Physical Distancing)

มีสิ่งหนึ่งที่ง่ายมากที่เราสามารถทำได้ และให้ผลดี สิ่งนั้นคือการแยกตัวทางสังคม

หากคุณกลับไปดูที่ชาร์ตหวู่ฮั่น คุณจะจำได้ว่าทันทีที่มีการล็อคดาวน์ขึ้น จำนวนเคสก็ลดลง นั่นเพราะคนไม่ได้เข้าใกล้กัน และไวรัสก็ไม่มีโอกาสแพร่กระจาย

ตามฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ในวันนี้ ไวรัสตัวนี้สามารถแพร่กระจายได้ภายใน 2 เมตร (6 ฟุต)หากใครมีอาการไอ ไม่เช่นนั้นละอองจะตกลงสู่พื้นและไม่มีการแพร่เชื้อ

เชื้อแพร่ได้มากที่สุดโดยทางพื้นผิว ไวรัสรอดได้นานถึง 9 วันบนพื้นผิวที่แตกต่างกันเช่นโลหะ เซรามิก และพลาสติก นั่นหมายความว่าสิ่งต่างๆ เช่นลูกบิดประตู โต๊ะ หรือปุ่มลิฟต์อาจเป็นพาหะที่น่ากลัว

วิธีเดียวที่จะลดการแพร่ระบาดอย่างแท้จริงคือการอยู่ห่างจากผู้อื่น ทำให้ผู้คนอยู่บ้านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

มาตรการได้รับการพิสูจน์แล้วในอดีตว่าได้ผลจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ในปีพ.ศ. 2461 (1918)

เรียนรู้จากโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดในปี 2461

Philadelphia ออกมาตรการช้าจึงมีอัตราตายสูงมาก เมื่อเทียบกับ St. Louis ซึ่งทำเร็ว

มาดูที่เดนเวอร์ ซึ่งมีมาตรการแต่คลายออก จะเห็นมีสองพีค พีคที่สองสูงกว่าพีคแรก

พูดกว้างๆ นี่คือสิ่งที่เห็นได้

ชาร์ตนี้แสดงให้เห็นว่าในปี 1918 ไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตกี่รายในแต่ละเมืองขึ้นอยู่กับความรวดเร็วหรือความชักช้าในการดำเนินมาตรการ ตัวอย่างเช่นเมืองเซนต์หลุยส์ที่ใช้มาตรการ 6 วันก่อนพิตส์เบิร์ก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตน้อยกว่าครึ่งตามสัดส่วนจำนวนประชากร โดยเฉลี่ยแล้วการบังคับใช้มาตรการเร็วขึ้น 20 วันจะลดอัตราการตายลงครึ่งหนึ่ง

อิตาลีคิดเรื่องนี้ออกในที่สุด ทีแรกปิดกั้นเฉพาะลอมบาร์เดียในวันอาทิตย์ แต่หนึ่งวันต่อมาในวันจันทร์ พวกเขาตระหนักถึงความผิดพลาดและตัดสินใจล็อคดาวน์ทั้งประเทศ

หวังว่าเราจะเห็นผลในไม่กี่วันข้างหน้า อย่างไรก็ตามจะใช้เวลาหนึ่งถึงสองสัปดาห์จากข้อมูลในชาร์ตจากหวู่ฮั่น จะใช้เวลาประมาณ 12 วันหลังจากมีประกาศล็อคดาวน์ กว่าเคสทางการ (สีเหลือง) จะเริ่มลดลง

ผู้นำและนักการเมืองจะมีส่วนร่วมในการแยกตัวทางสังคมได้อย่างไร?

สิ่งที่ผู้นำถามตัวเองในวันนี้ไม่ใช่ควรทำอะไรบ้างหรือไม่ แต่จะทำอะไร

การควบคุมการแพร่ระบาดนั้นมีหลายขั้นตอน เริ่มต้นด้วยความคาดหมายและสิ้นสุดด้วยการกำจัด แต่มันสายเกินไปแล้วสำหรับตอนนี้ที่มีเคสระดับนี้ ในกรณีนี้ทางเลือกที่เหลืออยู่ที่ผู้นำจะเอามาใช้ได้คือการจำกัดวง การบรรเทาผล และการปราบปราม

การจำกัดวง

การจำกัดวงคือการทำให้แน่ใจว่าผู้ป่วยทุกคนถูกระบุ ควบคุม และแยกออก นี่คือสิ่งที่สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น หรือไต้หวันทำได้ดี พวกเขาจำกัดคนเข้าประเทศ ระบุตัวผู้ป่วย แยกตัวทันที ใช้อุปกรณ์ป้องกันพร้อมเพรียงเพื่อปกป้องบุคลากรทางแพทย์ ติดตามคนที่ผู้ป่วยอาจแพร่เชื้อให้ทั้งหมดเพื่อกักกันคนเหล่านี้ วิธีนี้ได้ผลดีมากถ้ามีความความพร้อมและเร็ว และการนำมาตรการนี้มาใช้จะไม่ส่งผลถึงเศรษฐกิจมากนัก

เราชมไต้หวันไปแล้ว แต่วิธีของประเทศจีนก็ดีเช่นกัน วิธีที่จีนใช้ในการจำกัดไวรัสนั้นเหลือเชื่อ ตัวอย่างเช่นพวกเขามีทีมมากถึง1,800 ทีม ทีมละ 5 คน แต่ละทีมติดตามทุกคนที่มีการติดต่อพบปะกับผู้ติดเชื้อทุกคน และทุกคนที่คนกลุ่มนี้ติดต่อพบปะด้วยอีกต่อนึง และแยกกลุ่มคนเหล่านี้ทั้งหมด นี่เป็นวิธีที่จีนสามารถจำกัดไวรัสได้ในประเทศที่มีคนกว่าพันล้าน

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ประเทศตะวันตกทำ และตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว การประกาศของสหรัฐเมื่อเร็วๆนี้ ห้ามการเดินทางจากยุโรป เป็นมาตรการจำกัดสำหรับประเทศที่ในปัจจุบันมีเคส 3 เท่าของจำนวนเคสในมณฑลหูเป่ยเมื่อวันที่มีการปิดตัว เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามาตรการนี้ให้ผลเพียงพอหรือไม่? เรารู้ได้โดยดูที่การห้ามเดินทางของหวู่ฮั่น

แหล่งที่มา

ชาร์ตนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการห้ามเดินทางของหวู่ฮั่นในการชะลอโรคระบาด

ขนาดฟองในชาร์ตแสดงถึงจำนวนเคสในแต่ละวัน บรรทัดบนสุดแสดงจำนวนเคสหากไม่ทำอะไรเลย อีกสองบรรทัดแสดงผลกระทบหากการเดินทางถูกจำกัด 40% และ 90% นี่คือโมเดลที่นักระบาดวิทยาสร้างขึ้น เพราะเราสามารถไม่รู้ได้แน่นอน

ถ้าคุณมองไม่เห็นความแตกต่างมากนัก ก็ถูกต้องแล้ว มันเป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในระหว่างที่โรคกำลังแพร่ระบาด

นักวิจัยประเมินว่าในที่สุดแล้ว การห้ามเดินทางของหวู่ฮั่นทำให้การระบาดในจีนล่าช้าลงเพียง 3–5 วัน

แล้วนักวิจัยคิดว่าผลกระทบจากการลดการแพร่เชื้อจะเป็นอย่างไร (เทียบผลระหว่างมาตรการห้ามเดินทางกับผลจากมาตรการแยกตัวทางสังคม)

คุณเคยเห็นบล็อคแรกในชาร์ตนี้มาแล้ว (บนสุด) อีกสองบล็อกแสดงถึงอัตราการแพร่เชื้อ หากอัตราการแพร่เชื้อลดลง 25% โดยมาตรการแยกตัวทางสังคม จะเห็นได้ว่าจำนวนเคสน้อยลง และสามารถยืดพีคออกไปถึง 14 สัปดาห์ หากลดอัตราการแพร่เชื้อลง 50% ก็จะไม่เห็นการเริ่มระบาดของโรคภายในหนึ่งไตรมาส

การห้ามเดินทางจากยุโรปของสหรัฐนั้นดี แต่มันซื้อเวลาให้เราไม่กี่ชั่วโมงหรืออาจจะเป็นวันหรือสองวัน แต่ไม่มากไปกว่านี้และยังไงก็ไม่พอ นี่เป็นการจำกัดวงในเมื่อสิ่งที่จำเป็นต้องทำคือการบรรเทาผล

เมื่อถึงจุดที่มีหลายร้อยหรือหลายพันเคสในประชากร การป้องกันไม่ให้คนนอกเข้า การติดตามและแยกตัวผู้พบปะติดต่อกับผู้ป่วยไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว ระดับต่อไปคือการบรรเทาผลหรือการปราบปราม

การบรรเทาผล และ การปราบปราม

บทความใหม่ทุบด้วยค้อนแล้วต่อด้วยรำวงครอบคลุมการบรรเทาและการปราบปรามโดยละเอียด

การบรรเทาผลต้องใช้การเทสต์จำนวนมาก การแกะรอยประวัติการพบปะของผู้ป่วย การกักกันตัว และการแยกตัวผู้ป่วย เพื่อให้เส้นระบาดแบนลงโดยไม่หยุดการระบาด

การปราบปรามคือการพยายามที่สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเพื่อจะดับการระบาด มันต้องการมาตรการการแยกตัวทางสังคมที่หนัก ผู้คนต้องหยุดออกจากบ้านไปเที่ยวเพื่อลดอัตราการระบาด ลดค่าการระบาด R (Tranmission Rate) จาก R = ~ 2–3 จนลงต่ำกว่า 1 เพื่อไวรัสจะตายไปในที่สุด

มาตรการเหล่านี้หมายถึงการปิดบริษัท ร้านค้า ระบบขนส่งมวลชน โรงเรียน ต้องมีการบังคับล็อคดาวน์ ยิ่งสถานการณ์ของคุณแย่ลงเท่าใด มาตรการแยกตัวทางสังคมก็ต้องมีมากขึ้นและเข้มขึ้นเท่านั้น และเมื่อมีมาตรการที่หนักและเร็วขึ้นเท่าใด ก็จะเปิดเมืองได้เร็วขึ้นเท่านั้น จะระบุผู้ป่วยได้เร็วขึ้น และมีจำนวนคนที่ติดเชื้อน้อยลง

นี่คือสิ่งที่หวู่ฮั่นจำเป็นต้องทำ นี่คือสิ่งที่อิตาลีถูกบังคับให้ยอมรับ ตามด้วยฝรั่งเศส สเปน และอีกหลายประเทศ เพราะเมื่อไวรัสอาละวาด มาตรการเดียวที่ได้ผลคือล็อคพื้นที่ที่ติดเชื้อทั้งหมดเพื่อหยุดการแพร่กระจาย

ในประเทศที่มีเคสเป็นพันๆ — และเคสจริงนับหมื่นๆ — เช่นสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, หรือสวิตเซอร์แลนด์ นี่คือสิ่งที่ประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องทำ

แต่ก็ไม่ทำ

ธุรกิจบางอย่างให้ทำงานจากบ้าน ซึ่งยอดเยี่ยมมาก

กิจกรรมจำนวนมากกำลังถูกหยุด

พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบบางแห่งกำลังกักกันตัวอยู่

มาตรการทั้งหมดนี้จะทำให้ไวรัสแพร่ได้ช้าลง R อาจลดจาก 2.5 เป็น 2.2 หรือ 2 แต่ไม่พอที่ละลดลงให้ต่ำกว่า 1 อย่างมีระยะเวลาที่ยั่งยืนพอที่จะหยุดการแพร่ระบาด

ดังนั้นคำถามคือ: อะไรคือสิ่งที่จะทำให้เราสามารถลดค่า R ได้? นี่คือเมนูจากอิตาลีสำหรับพวกเราทุกคน:

  • ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกจากพื้นที่ล็อคดาวน์ เว้นแต่จะมีเหตุผลครอบครัวหรือเหตุผลการทำงานที่พิศูจน์ได้
  • หลีกเลี่ยงการเคลื่อนตัวภายในพื้นที่ เว้นแต่จะมีเหตุผลส่วนตัวหรืองานเร่งด่วนที่สมควร และไม่สามารถเลื่อนได้
  • ผู้ที่มีอาการ (ติดเชื้อทางเดินหายใจและมีไข้) แนะนำอย่างยิ่งให้อยู่บ้าน
  • มาตรฐานเวลาหยุดสำหรับพนักงานด้านการดูแลสุขภาพถูกยกเลิกไปก่อน
  • ปิดสถานศึกษาทุกแห่ง (โรงเรียน มหาวิทยาลัย) ยิม พิพิธภัณฑ์ สถานสกี ศูนย์วัฒนธรรมและศูนย์ต่างๆเพื่อการสังคม สระว่ายน้ำ และโรงภาพยนตร์
  • บาร์และร้านอาหารมีเวลาเปิดทำการจำกัด ตั้งแต่ 6.00น. ถึง 18.00น. โดยมีระยะห่างระหว่างผู้คนอย่างน้อยหนึ่งเมตร (~ 3 ฟุต)
  • ผับและคลับทั้งหมดจะต้องปิด
  • กิจกรรมเชิงพาณิชย์ทั้งหมดจะต้องรักษาระยะห่างหนึ่งเมตรระหว่างลูกค้า ที่ไหนทำไม่ได้จะถูกปิด วัดสามารถเปิดได้ตราบใดที่พวกเขาสามารถรับประกันระยะห่างระหว่างบุคคลได้
  • การเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาลของครอบครัวและเพื่อนถูกจำกัด
  • การประชุมการทำงานจะต้องเลื่อนออกไป ต้องทำงานจากที่บ้าน
  • การแข่งขันกีฬาและการแข่งขันอื่นๆทั้งหมดไม่ว่าเป็นสาธารณะหรือส่วนตัว ถูกยกเลิกหมด
  • จากนั้นอีกสองวันต่อมาพวกเขาก็เพิ่มมาตรการ โดยปิดทุกธุรกิจที่ถือว่าไม่สำคัญตอนนี้เราจะปิดกิจกรรมพาณิชย์ทั้งหมด สำนักงาน คาเฟ่ และร้านค้าทั้งหมด เฉพาะการขนส่งร้านขายของชำร้านขายของชำจะยังคงเปิดอยู่

จะเลือกมาตรการที่เหมาะสมสำหรับประเทศของคุณได้อย่างไร? ขอแนะให้อ่านบทความ Coronavirus ทุบด้วยค้อนแล้วต่อด้วยรำวง วิธีหนึ่งคือการค่อยๆเพิ่มมาตรการ แต่วิธีนี้เป็นการผลาญเวลาอันมีค่าและให้โอกาสไวรัสที่จะแพร่กระจายมากขึ้น ถ้าคุณต้องการความปลอดภัยของชีวิตเป็นหลัก คุณต้องทำสไตล์หวู่ฮั่น ผู้คนอาจบ่นตอนนี้ แต่พวกเขาจะขอบคุณคุณในภายหลัง

ผู้นำธุรกิจสามารถมีส่วนร่วมในการแยกตัวทางสังคมได้อย่างไร

หากคุณเป็นผู้นำธุรกิจและคุณต้องการรู้ว่าคุณควรทำอะไร เราพบข้อมูลที่มีประโยชน์ที่นี่

นี่คือลิสต์ของนโยบายการแยกตัวทางสังคมที่ประกาศใช้โดยบริษัทไฮเทคในสหรัฐอเมริกา จนถึงวันนี้รวมทั้งสิ้น 328 บริษัท

มาตรการมีตั้งแต่อนุญาตให้ทำงานจากที่บ้าน บังคับให้ทำงานที่บ้าน จำกัดการเดินทางหรือกิจกรรม

ที่ทุกบริษัทต้องพิจารณาหลายสิ่ง เช่นจะทำอย่างไรกับพนักงานรายชั่วโมง จะเปิดสำนักงานหรือไม่ จะสัมภาษณ์งานกันอย่างไร จะทำอย่างไรกับโรงอาหาร เรามีตัวอย่างคำประกาศให้กับพนักงานของคุณ นี่คือประกาศที่บริษัทของเราใช้

4. จะทำเมื่อไหร่

มันเป็นไปได้ที่คุณเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่เราพูดมา และสงสัยตั้งแต่เริ่มต้นว่าเมื่อไหร่ควรตัดสินใจ พูดอีกอย่างก็คือ เราควรใช้อะไรเป็นตัวบอกว่าเราควรเหนี่ยวไกปืนเมื่อใดในการตัดสินใจดำเนินมาตรการ

โมเดลที่ขึ้นกับความเสี่ยง (Risk-based Model) สำหรับตัวบ่งบอก

เพื่อตอบคำถามนี้เราได้สร้างโมเดลไว้

โมเดลนี้จะช่วยให้คุณสามารถประเมินจำนวนเคสที่เป็นไปได้ในพื้นที่ของคุณ ความเป็นไปได้ที่พนักงานของคุณติดไวรัสแล้ว วิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา และสิ่งเหล่านี้จะบอกคุณได้ว่ายังควรเปิดบริษัทอยู่หรือไม่

ตัวอย่างที่โมเดลนี้บอกเราได้:

  • หากบริษัทของคุณมีพนักงาน 100 คนในเขตรัฐวอชิงตันซึ่งมีผู้เสียชีวิตจาก Coronavirus 11 รายเมื่อวันที่ 8 มีค. มีโอกาส 25% ที่พนักงานของคุณติดเชื้อแล้วอย่างน้อยหนึ่งรายและคุณควรปิดทันที
  • หากบริษัทของคุณมีพนักงาน 250 คนส่วนใหญ่ใน South San Francisco Bay (ซานมาเทโอและซานตาคลาร่าซึ่งรวมกันมี 22 เคสเมื่อวันที่ 8 มีค. และจำนวนเคสที่แท้จริงน่าจะเป็นอย่างน้อย 54 ภายในวันเดียวต่อมา คุณจะมีโอกาส ~ 2% ที่จะมีพนักงานติดเชื้ออย่างน้อยหนึ่งคนและคุณควรปิดสำนักงาน
  • [อัปเดตวันที่ 12 มีค.] หาก บริษัท ของคุณอยู่ในปารีส และมีพนักงาน 250 คนในวันนี้คุณมีโอกาส 95% ที่หนึ่งในพนักงานของคุณติดเชื้อ Coronavirus แล้ว และคุณควรปิดสำนักงานของคุณในวันพรุ่งนี้

ในโมเดลเราใช้คำเช่น “บริษัท” และ“พนักงาน” แต่รูปแบบเดียวกันนี้สามารถนำไปใช้กับสถานที่อื่นๆได้: โรงเรียน ระบบขนส่งมวลชน ดังนั้นถ้าคุณมีพนักงานเพียง 50 คนในปารีส แต่พวกเขาทั้งหมดจะขึ้นรถไฟมาทำงาน ต้องอยู่ใกล้และสัมผัสคนนับพัน ทันใดนั้นโอกาสที่อย่างน้อยคนหนึ่งในนั้นจะติดเชื้อสูงกว่ามากและคุณควรปิดสำนักงานของคุณทันที

หากคุณยังคงลังเลใจ เพราะไม่มีใครแสดงอาการ ขอให้คุณตระหนักว่า 26% ของการแพร่เชื้อ เกิดขึ้นก่อนที่จะมีอาการ

คุณเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้นำหรือไม่?

โมเดลนี้เห็นแก่ตัว มันประเมิณความเสี่ยงเป็นรายกลุ่มบุคคล รายบริษัทไป โดยยอมรับความเสี่ยงมากที่สุดจนกว่า Coronavirus จะเป็นตัวปิดสำนักงานของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่คุณเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้นำทางการเมืองหรือทางธุรกิจ การคำนวณของคุณไม่ได้มีไว้สำหรับบริษัทเดียว แต่สำหรับทั้งหมด การคำนวนจึงกลายเป็นการประเมินโอกาสที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งของเราจะติดเชื้อ ถ้าเราดูบริษัท 50 บริษัทในบริเวณแซนแฟรนซิสโก แต่ละแห่งมีพนักงาน 250 คนโดยเฉลี่ย โอกาสที่อย่างน้อยบริษัทใดบริษัทหนึ่งมีพนักงานติดเชื้ออย่างน้อยหนึ่งคนคือ 35% และโอกาสนี้จะเป็นจริงในสัปดาห์หน้าสูงถึง 97% เราเพิ่มแท็บในโมเดลเพื่อวิเคราะห์สิ่งนี้

สรุป: ความเสียหายจากการรอ

มันอาจรู้สึกน่ากลัวที่จะตัดสินใจในวันนี้ แต่คุณไม่ควรคิดแบบนี้

แบบจำลองทางทฤษฎีของเคสรายวันข้างบนแสดงให้เห็นชุมชนที่แตกต่างกัน ชุมชนหนึ่งไม่ได้ใช้มาตรการแยกตัวทางสังคม อีกชุมชนหนึ่งออกมาตรการในวัน n ของการระบาด และอีกชุมชนหนึ่งในวัน n+1 ตัวเลขทั้งหมดเป็นตัวเลขสมมุติเพื่อยกตัวอย่าง (เราเลือกตัวเลขให้คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหูเป่ยโดยมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ ~ 6k ต่อวันตอนที่แย่ที่สุด) ชาร์ตนี้แสดงให้เห็นว่าวันเดียวสำคัญแค่ไหนในการเติบโตขึ้นอย่างทวีคูณ

แล้วเส้นเคสสะสมล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร?

ในโมเดลเชิงทฤษฎีนี้เราทำให้มีลักษณะคล้ายหูเป่ย การรอเพียงวันเดียวจะทำให้เคสสะสมมากขึ้นถึง 40%! ดังนั้นถ้าเจ้าหน้าที่มณฑลหูเป่ยประกาศการล็อคดาวน์ในวันที่ 22 มค. แทนที่จะเป็น 23 มค. พวกเขาอาจลดจำนวนผู้ป่วยลงได้ถึงสองหมื่นคน

เราต้องรำลึกไว้ว่านี่เป็นแค่เคส สำคัญกว่านี้คืออัตราความตายจะสูงขึ้นมาก เพราะไม่เพียงแต่จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 40% เท่านั้น ยังจะมีการล่มสลายของระบบสาธารณะสุขที่สูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่อัตราการตายที่สูงขึ้นถึง 10 เท่าตามที่เราเคยคุยกันมา ดังนั้นความแตกต่างเพียงหนึ่งวันในการตัดสินใจบังคับใช้มาตรการแยกตัวทางสังคมจะสามารถทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตในชุมชนของคุณกระฉูดขึ้น เพราะจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น

นี่เป็นภัยคุกคามแบบทวีคูณ ทุกวันมีค่ามาก ผลกระทบจะมีมากหากคุณตัดสินใจช้าไปเพียงวันเดียว อาจมีหลายร้อยหรือหลายพันเคสในชุมชนของคุณแล้วในวันนี้ ทุกวันที่ยังไม่มีมาตรการแยกตัวทางสังคมที่เหมาะสมและได้ผล จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างทวีคูณ

แชร์ความคิดนี้

นี่อาจเป็นครั้งเดียวในทศวรรษที่ผ่านมาที่แชร์บทความอาจช่วยชีวิตได้ เราทุกคนต้องเข้าใจสิ่งนี้เพื่อป้องกันหายนะ ช่วงเวลาในการลงมือทำคือตอนนี้

นอกจากภาษาไทยแล้ว บทความเดิมถูกแปลเป็นภาษาต่างๆดังนี้

ภาษาฝรั่งเศส

ภาษาสเปน

ภาษาอิแทเลี่ยน

ภาษาเยอรมัน (เป็นรุ่น lternative )

ภาษาโปรตุกีส (และเลือกรุ่นและอื่น ใน)

ภาษาจีน

แบบย่อภาษาจีน

ภาษาญี่ปุ่น

ภาษาฮินดี

ภาษาบัลแกเรีย

ภาษารัสเซีย

ภาษาตุรกี

ภาษายูเครน

ภาษาเช็ก

ภาษาสโลวาเกีย

ภาษาสวีเดน

ภาษากรีก

ภาษาอาหรับ

ภาษานอร์เวย์

ภาษาเวียดนาม

ภาษาคาตาลัน

ภาษาดัตช์ ( เลือกรุ่น )

ภาษาฮังการี

ภาษาฟินแลนด์

ภาษามองโกเลีย

ภาษาลิทัวเนีย

ภาษาเซอร์เบีย

ภาษาเอสโตเนีย

ภาษาเปอร์เซีย ( และรุ่นทางเลือกในรูปแบบไฟล์ PDF )

ภาษามาลายาลัม

ภาษาดารี (pdf)

ภาษาโปแลนด์ (และรุ่นทางเลือก )

ภาษาโรมาเนีย (การแปลบางส่วน)

ภาษาฮิบรู (การแปลทางเลือกนอกสื่อสำหรับการจัดรูปแบบภาษาฮีบรู)

--

--

Tomas Pueyo
Tomas Pueyo

Published in Tomas Pueyo

Insights about Growth, including Coronavirus Growth

Ken Mallikamas
Ken Mallikamas

Written by Ken Mallikamas

MS Engr., MBA. Co-owned a SW product with $1.5B annual sales. Typing loudly from a California town by the Bay, often with his cat purring happily on his lap.