บรัยส์ JPEG …มาถ่ายรูปเป็นไฟล์ RAW กันดีกว่า!

Tor Chanon
torcnn
Published in
4 min readOct 14, 2015

--

กดถ่ายไฟล์ RAW มันดียังไง ที่ทำให้คุณทิ้ง JPEG ไป ที่ทำให้คุณนั้นต้องติดใจ มาชวนผม….

หลายๆคนคงคุ้นเคยกับไฟล์ JPEG ดี เพราะว่ามันเป็นไฟล์ภาพที่มีให้เห็นอยู่ทั่วๆไป เป็นรูปแบบของภาพที่นิยมใช้กันมากเพราะว่ามันมีขนาดเล็ก จะเซฟก็ไม่เปลืองพื้นที่ ปกติถ่ายรูปออกมาเป็นไฟล์ JPEG ก็โพสต์ลงเน็ตได้เลยสวยๆ ไม่กินเวลาโหลดมากมาย บางรูปแทบไม่ต้องแต่งอะไรเลย

แต่ในความสะดวกสบายมันก็มีข้อเสียซ่อนอยู่ เพราะว่า JPEG มันเป็นไฟล์ภาพที่ผ่านการบีบอัดมาแล้วเพื่อให้มีขนาดเล็กลง จึงทำให้มันสูญเสียความละเอียดของภาพไป เวลาเอามาแต่งอย่างจริงจัง ภาพมันจะพังได้ง่ายๆ

“แล้วจะทำยังไงหากเราจะถ่ายรูปไปเพื่อแต่งต่อ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดล่ะ?”

คำตอบคือ ถ่ายเป็นไฟล์ RAW แทน JPEG ครับ!

ไฟล์ RAW เป็นรูปแบบของไฟล์ที่เซนเซอร์กล้องของเราบันทึกข้อมูลภาพทุกส่วนเอาไว้ครับ การที่มันไม่ถูกย่อแบบ JPEG ทำให้เราได้ไฟล์ภาพที่คุณภาพสูงกว่า และสามารถเอามาแต่งต่อและแก้ไขได้โดยที่ภาพไม่เสียหายเหมือน JPEG ครับ!

หมายเหตุ1: เวลาที่กล้องเราถ่ายJPEG จริงๆแล้วคือมันถ่ายRAWนั่นแหละ แต่กล้องเอาภาพนั้นไปย่อให้เล็กลงเป็นJPEG

หมายเหตุ2: ไฟล์RAWไม่ใช่ไฟล์รูปภาพนะครับ แต่เป็นไฟล์ที่บันทึกข้อมูลภาพเอาไว้

ปัจจุบันกล้องทั่วๆไปมันก็ถ่าย RAW ได้กันเกือบหมดแล้ว ลองดูเมนูการตั้งค่ากล้องตัวเองดูครับ ชีวิตใหม่ของคุณอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ

เพื่อชี้ให้เห็นถึงข้อดีของไฟล์ RAW เราจะขอลิสต์เป็นข้อๆเพื่อให้อ่านง่ายขึ้นนะครับ

ถ่ายRAWดีกว่ายังไง?!

จะพยายามพูดง่ายๆด้วยภาษาคนนะครับ

1. คุณภาพของภาพดีกว่า แต่งภาพได้ในแบบที่เราต้องการ

อย่างที่บอกไปตะกี๊ว่าจริงๆกล้องเราอะถ่ายRAWเสมอแหละ แต่ถ้าเซ็ตเป็นJPEG กล้องของเรามันจะเอาภาพของเราไปย่อให้เล็กลง เหมือนกล้องมันคิดให้ แต่งภาพ และย่อขนาดออกมาเลยทันที ถ้าเราถ่ายRAWเท่ากับว่าไฟล์ภาพนั้นยังไม่ถูกบีบอัด ยังไม่ถูกย่อส่วน นั่นหมายความว่าเราจะได้แต่งภาพไปในทิศทางที่เราต้องการอย่างเต็มประสิทธิภาพ มีอิสระในการแต่งภาพ มองว่าพังตรงไหนก็ซ่อมได้ตรงจุด ไม่ใช่ให้กล้องมาคิดให้เองหมด

2. ปรับเปลี่ยน White Balance ได้ง่าย

White Balance คือการปรับสมดุลแสงสีขาวในภาพอะ มันเป็นฟังก์ชั่นนึงที่สำคัญของกล้องเลย เพราะแสงแต่ละสถานการณ์ให้สีที่ไม่เหมือนกัน เราเลยต้องมี White Balance มาช่วยให้ภาพเรามีสีสันที่ควรจะเป็น ส่วนเวลาแต่งรูป หลายๆคนคงเคยเห็นฟังก์ชั่น Temperature แล้วก็ Tint นั่นแหละคือ White Balance

ถ้าเกิดเราถ่ายJPEG เจ้าWhite Balanceมันจะเกิดขึ้นกับภาพทันทีเมื่อถ่าย หากว่าเราถ่ายออกมาส้ม ก็ต้องส้มอยู่อย่างนั้น หากว่าเราถ่ายออกมาฟ้า ก็ต้องฟ้าอยู่อย่างนั้น ปรับลำบาก แต่ถ้าถ่ายเป็น RAW เอามาปรับทีหลังได้ง่ายๆ ชิลล์ๆ

ตัวอย่างเวลาถ่าย JPEG แล้วมาปรับ White Balance ทีหลัง

ปรับยังไงก็รู้สึกชีวิตพัง

ตัวอย่างเวลาถ่าย RAW แล้วมาปรับ White Balance ทีหลัง

สมมติเราถ่ายมาตอนเย็นๆ แสงออกฟ้าๆ หากถ่ายRAWมา เราก็ปรับให้มันส้มขึ้นได้

3. ระดับการไล่โทนขาวดำบนไฟล์RAWดีกว่าJPEGหลายเท่า

คือรูปภาพของเราอะมันจะมีระดับของโทนแสงขาว-ดำอยู่ที่ไล่ตั้งแต่มืดตื๋อไปจนสว่างจ้า สิ่งนี้เราเรียกมันว่า bit-depth ไฟล์ JPEG (8 bit) มันไล่ได้256ระดับ ในขณะที่ไฟล์ RAW (12 bit, 14 bit) จะไล่ได้ 4,096 ระดับ ไปจนถึงเป็นหมื่นๆระดับ

ในการใช้งานทั่วๆไป การไล่ได้256ระดับของ 8 bit ก็ถือว่าเหลือเฟือแล้ว แต่หากเราเอาภาพที่ไล่โทนได้แค่ 256 ระดับไปทำการแต่ง ภาพเรามีโอกาสที่จะเกิดความแตกต่างในการไล่โทนอย่างเห็นได้ชัด เห็นความไม่นุ่มนวล เพราะระดับการไล่โทนมันมีน้อยไป

ถ้าภาพของเราสามารถไล่ระดับโทนขาวดำได้น้อย หากเอาไปแต่งต่อภาพมันก็จะออกมาแตกๆ เดี๋ยวดูตัวอย่าง นี่คือไฟล์ JPEG ที่เราถ่ายมา

Original JPEG

เรารู้สึกว่าฉากหลังสีขาวมันสว่างเกินไป พอเราจะแก้ไขด้วยการลด Highlights ลง กลายเป็นว่าภาพมันออกมาเป็นแบบนี้

JPEG (-100 highlights)

จะเห็นได้ถึงความพังของภาพ มีรอยด่างเกิดขึ้นมากมาย นั่นเป็นเพราะระดับการไล่โทนขาว-ดำของไฟล์JPEGมันน้อยมาก

แต่ถ้าเราลองเทียบการไล่โทนกับไฟล์RAWดูล่ะ การที่เราไล่โทนได้หลายๆระดับ ทำให้เราสามารถปรับ Exposure, Contrast, Shadows, Highlights และอื่นๆได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ดูตัวอย่างนะ รูปนี้เรารู้สึกว่าสีขาวมันจ้าไปเหมือนกัน เลยจะลด highlights ลง -100

รูปแรกคือ RAW Original, รูปถัดมาคือ RAW (-100 highlights)

(หากใครหาข้อแตกต่างไม่เจอ จุดที่แตกต่างคือส่วนที่แสงจ้าของภาพนะครับ)

สังเกตได้เลยว่าเราได้ดีเทลส่วนสว่างของภาพกลับคืนมา ในขณะที่ไฟล์ไม่เสียหายเลย เป็นไงล่ะ ดีกว่าเห็นๆ

4. หากถ่ายมาสว่างหรือมืดเกินไป ก็ปรับแก้ได้ไม่มีปัญหา

ข้อดีของการถ่ายRAWคือถ้ารูปเราสว่างหรือมืดไป เราก็สามารถเอามาแก้ไขได้โดยที่เกิดความเสียหายกับภาพน้อยมาก

ถ่ายRAWมาปรับส่วนมืดให้สว่างขึ้นได้ง่ายมาก (+50 shadows)

5. ความเป็นมืออาชีพสูงกว่า

ลองเดินไปถามช่างกล้องอาชีพตามงานแต่งงานไรงี้ดูสิครับ ไม่มีใครถ่าย JPEG เป็นหลักกันเลยซักคน การถ่ายRAWนอกจากจะทำให้ได้งานที่ละเอียดมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ช่างภาพดูเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้นด้วย นอกจากนี้ เราสามารถเซฟภาพได้หลากหลาย Color Space เราอาจจะเซฟเป็น sRGB, Adobe RGB (1998), หรือเซฟเป็น ProPhoto RGB ก็ได้ แล้วแต่สถานการณ์ว่าเราจะเอาภาพนั้นไปใช้ทำอะไร

6. แก้ไขข้อบกพร่องจากเลนส์และกล้องได้ง่ายๆแค่คลิกสองคลิก

เลนส์บางตัวถ่ายออกมาแล้วภาพดูยืด บางตัวถ่ายออกมาแล้วเกิดขอบวัตถุสีม่วงหรือขอบวัตถุสีเขียว เราสามารถแก้ไขได้ง่ายๆถ้าถ่ายเป็นไฟล์ RAW ครับ

7. เป็นหลักฐานชั้นดีในชั้นศาล

ไฟล์RAWเป็นไฟล์ที่คนทั่วไปไม่เอาไปแจกจ่ายให้กับใครง่ายๆครับ วันดีคืนดีหากมีใครสะเหล่อก๊อปรูป JPEG (ไฟล์RAWที่แต่งแล้วเซฟเป็นJPEG) ของเราไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เราสามารถยืดอกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ชิลล์ๆเลยหากเราถือครองไฟล์RAWไว้เป็นหลักฐาน

หากคู่กรณีหาไฟล์RAWต้นฉบับนั้นมาสู้คุณไม่ได้ เค้าแพ้คดีแน่นอน!

…แน่นอนสิว่าต้องหาไม่ได้ โลกนี้ไม่มีเทคโนโลยีในการเปลี่ยนไฟล์ JPEG ให้เป็น RAW หรอก จำไว้เสมอว่า JPEG เป็นไฟล์ที่ถูกบีบอัดและสูญเสียความละเอียดไปแล้ว

ด่า JPEG มาซะเยอะ มาดูข้อเสียของ RAW กันบ้าง

1. ไฟล์ขนาดใหญ่มาก ยิงรัวๆสู้JPEGไม่ได้

ไฟล์ RAW มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมากครับ SD Card 8GB อาจจะถ่ายได้แค่ประมาณ200รูป ถ้าถ่ายบ่อยๆปีนึงอาจจะต้องซื้อ external harddisk 3–4 อัน หากถ่าย JPEG แทนอาจจะกินเนื้อที่น้อยลง3เท่าตัวเลย

ยิ่งไฟล์ขนาดใหญ่ก็ยิ่งต้องใช้พื้นที่เยอะ แถมใช้เวลาในการเซฟลง SD Card นาน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องซื้อ SD Card ที่ความจุและความเร็วมากขึ้นมาใช้งาน ไม่งั้นเราจะถ่ายรัวๆไม่ได้เพราะกล้องเราจะใช้เวลานานมากกว่าจะถ่ายได้รูปนึง ต้นทุนชีวิตเราก็ต้องสูงขึ้นไปอีก

ถ่าย4รูปก็100mbแล้ว ถ่าย40รูปก็1gbแล้ว ถ่าย400รูปก็10gb แล้ว!!!

2. ถ้าไม่แต่งภาพเลย ภาพอาจจะออกมาไม่สวย

ไฟล์ RAW เป็นไฟล์ที่ไม่ได้รับการแต่งอะไรเลย ถ้าไม่แต่ง ภาพมันก็อาจจะออกมาน่าเศร้าสุดๆ ต่างกับการถ่าย JPEG ที่กล้องคิดและแต่งให้เรียบร้อยแล้ว

รูปแรกคือไฟล์ RAW เปล่าๆ ถ้าไม่ทำอะไรเลยกับภาพ ชีวิตจะบัดซบมาก ส่วนรูปถัดมาคือรูปที่แต่งแล้ว ออกมาคนละเรื่อง!

3. ช้า ไม่ทันใจ

บางโอกาสคือแบบ เฮ้ยแก ชั้นอยากถ่ายรูปแล้วเอาลงเลยอะ จะให้ไปแต่งก่อนแล้วค่อยลงก็หมดฟีล นี่จะ3ทุ่มแล้วด้วย เดี๋ยวไม่ทันช่วงไพรม์ไทม์ ลงตอนนี้แม่งเลย ยอดLikeจะได้เยอะๆงี้

4. ต้องใช้โปรแกรมเฉพาะในการเปิดดูไฟล์

ไฟล์ RAW คือไฟล์ข้อมูล ไม่ใช่ไฟล์ภาพสำเร็จรูป ดังนั้นคอมพิวเตอร์ทั่วๆไปจะเปิดไฟล์ RAW ไม่ได้นะครับ เว้นแต่จะมีโปรแกรมเฉพาะเท่านั้น เช่น Photoshop, Lightroom, Picasa หรือ DXO นั่นหมายความว่าขั้นตอนกว่าจะได้รูปสำเร็จมันก็จะเพิ่มขึ้น บางโปรแกรมก็ต้องจ่ายตังเป็นรายเดือน ต้นทุนก็สูงขึ้นไปอีก

5. ไม่มีฟังก์ชั่นหน้าเนียน

บอกลาฟังก์ชั่นหน้าเนียนทั้งหลายของกล้องไปเลยถ้าคิดจะถ่ายRAWครับ หากคุณผู้หญิงอยากจะถ่ายRAWด้วยและหน้าเนียนด้วย คุณผู้หญิงต้องเอาไปแต่งต่อเองในโปรแกรมเฉพาะเท่านั้น

สรุป

ไฟล์RAWทำให้แต่งภาพสนุกขึ้นเยอะเลย แต่ก็แลกมาด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย

จริงๆแล้วการจะถ่าย RAW หรือ JPEG มันก็แล้วแต่ว่าจะเอาภาพไปใช้ทำอะไรนั่นแหละ ถ้าอยากได้งานคุณภาพสูง ก็ควรถ่าย RAW เพื่อนำไปเข้าโปรแกรมตกแต่งภาพต่อ แต่ถ้าหากเราอยากจะเน้นเร็ว ได้ไฟล์ขนาดเล็ก ถ่ายได้หลายๆรูป ไม่ต้องเอาไปแต่งต่อเยอะ หน้าใสขาวอมชมพูฟรุ้งฟริ้งเน็ตไอดอลไรงี้ก็ถ่าย JPEG เลย หรือสำหรับบางคนที่เป็นช่างภาพสายโซเชียล ใจนึงก็อยากเอาภาพไปแต่ง อีกใจก็อยากเอารูปลงโซเชียลแบบเร็วๆ กล้องส่วนใหญ่มี RAW & JPEG ให้เลือกนะครับ ถ่ายควบไปด้วยกันได้เลย

.

.

.

ก่อนจากกัน หากใครมีคำถามอะไรสามารถถามกันเข้ามาได้เลยไม่ว่าจะทาง ask.fm, twitter, instagram, Facebook

หากใครที่อยากติดตามเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับการถ่ายภาพ สามารถ follow เราบน medium นี้ได้เลย ถ้าเขียน blog เรื่องใหม่เมื่อไหร่มันจะมี notification ส่งไปทันที :D

ไปละ บ๊ายบาย

--

--

Tor Chanon
torcnn

ต่อ ชานนท์ โตเลี้ยง / Photography Tips and Reviews. Instagram & Twitter : @torcnn