รีวิว Canon EOS M6 II (Mark2) สามปีผ่านไป รุ่นใหม่มาแล้ว!

Tor Chanon
torcnn
Published in
6 min readJul 9, 2020

--

“กล้องมิเรอร์เลสเซนเซอร์ APS-C ขนาดเล็ก สเปคเกินตัว”

สวัสดีครับ เรา @torcnn เอง ☺️

เมื่อสามปีก่อน(ปี 2017) เราเคยได้เอากล้อง Canon EOS M6 รุ่นแรกมาทดลองเล่นครับ มันเป็นกล้องที่เราชอบเลยนะ ด้วยความที่มันเป็นหนึ่งในกล้องมิเรอร์เลสของ Canon ตัวแรกๆที่ใช้ระบบโฟกัสแบบ Dual Pixel CMOS AF ซึ่งช่วยให้การจับโฟกัสทำได้รวดเร็วยิ่งกว่ามิเรอร์เลสของ Canon รุ่นอื่นๆ ที่เคยมีมาในตอนนั้น

การที่มี Canon EOS M6 II หรือรุ่นที่ 2 ออกมา แน่นอนว่าเราจะต้องสนใจกล้องตัวนี้เป็นพิเศษ อยากรู้ว่ามันจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปในทิศทางไหนครับ จะน่าใช้รึเปล่า มินิรีวิวนี้จะช่วยให้ทุกคนได้รู้จักกล้อง Canon EOS M6 II มากยิ่งขึ้นครับ

Background

กล้อง Canon EOS M6 II เป็นกล้องที่เป็นดั่งฝาแฝดของ Canon EOS 90D อันนี้หลายๆคนน่าจะทราบดีแล้ว ด้วยความที่ไส้ในของมันคล้ายกันมาก(แม้หน้าตาจะไม่เหมือนกันเลยก็ตาม) หากสนใจรีวิวเปรียบเทียบ สามารถอ่านได้ด้านล่างนี้ครับ

แต่เอาจริงๆ แรกเริ่มเดิมที กล้องแคนนอน ซีรีส์ M6 เนี่ยจะมีพี่แท้ๆของมันอยู่ นั่นก็คือกล้องซีรีส์ M5 ซึ่งเป็นกล้องชนิดมิเรอร์เลสเหมือนกัน แต่ M5 มีช่องมองภาพในตัว และมีปุ่มในการควบคุมเยอะกว่าหน่อย (ตอนนี้ M5 II ยังไม่ออกนะ)

ถ้านึกภาพคนที่ใช้ M5 เทียบกับ M6 คนที่ใช้ M5 จะดูมีความจริงจังในการถ่ายรูปมากกว่าหน่อยครับ ส่วนคนที่ใช้ M6 จะเป็นแนวถ่ายรูปชิวๆมากกว่า

ถ้าคุณคิดที่จะซื้อกล้อง และรู้ตัวว่าอยากจะได้กล้องตัวเล็กๆ เปลี่ยนเลนส์ได้ไว้พกไปถ่ายภาพทั่วๆไป สเปคดีๆ สีสวยๆหน่อย Canon EOS M6 II อาจจะเหมาะกับคุณนะ

สัมผัสแรก

เล็กและเบา! Canon EOS M6 II เป็นกล้องมิเรอร์เลสที่มีขนาดเล็กพกพาง่ายมากๆ หยิบใส่กระเป๋าไปไหนก็สะดวก น้ำหนักแค่ 408 กรัม เอาจริงๆ แค่เหตุผลนี้เหตุผลเดียวบางคนก็ก้าวขาเข้ามาข้างนึงแล้ว แต่มันไม่ได้ขนาดเล็กอย่างเดียวแล้วจบ มันยังมีกริปที่ดีด้วย

กล้องหลายๆตัวผลิตออกมาขนาดเล็กก็จริงแต่พอลองจับแล้วรู้สึกว่าจับลำบาก แต่สำหรับ Canon EOS M6 II มันมีกริปที่ออกแบบมาได้ดีครับ มีพื้นที่ให้สำหรับนิ้วกลางและนิ้วนางได้ล็อกแบบเต็มๆ ด้านหลังกล้องยังมีพื้นที่ให้ล็อกนิ้วโป้งด้วย ใช้แล้วไม่ต้องกลัวทำหล่น

แม้ขนาดกริปจะไม่ใหญ่มาก แต่นี่ก็เป็นกริปที่มีขนาดสมกับขนาดตัวของมัน มือผู้ชายอย่างเราจับแล้วรู้สึกโอเคครับ มือผู้หญิงเล็กๆ ถ้าได้ลองจับน่าจะพอดียิ่งกว่า

เซนเซอร์

ใช้เซนเซอร์ขนาด APS-C (ขนาดเล็กกว่าฟูลเฟรม 1.6 เท่า) ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล (รุ่นแรก 24 ล้าน) ความละเอียดเท่านี้มันเหลือเฟือสุดๆ ชีวิตมนุษย์โซเชียล อย่างเราๆ จริงๆแค่ 10 ล้านก็เพียงพอครับ จุดนี้สำหรับคนที่ถ่ายรูปชิวๆคงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจริงจัง แต่ถ้าหากวันดีคืนดีเราอยากจะถ่ายภาพอัดขนาดใหญ่ ใช้ทำป้ายหรืออะไรแนวนี้ บอกเลยว่า Canon EOS M6 II พร้อม

ประโยชน์อีกหนึ่งอย่างของการที่มีพิกเซลเยอะๆ คือเวลาที่เราถ่ายภาพมาแล้วแต่คอมโพสไม่ถูกใจ เราสามารถครอปภาพเพื่อจัดคอมโพสใหม่ได้โดยที่ยังมีรายละเอียดเหลือในภาพเยอะครับ

ไฟล์ RAW

เผื่อมีคนคิดจะจริงจังยิ่งขึ้นแล้วอยากเอาไฟล์ RAW มาแต่ง เราเลยขอเทสให้แบบคร่าวๆครับ ถึงจะเป็นเซนเซอร์ APS-C พอได้ลองเล่นกลับรู้สึกว่ามันยืดหยุ่นใช้ได้ครับ เอามาดึงเล่นโอเคเลยนะ ดึงส่วนมืดแล้วดีเทลยังอยู่ ไม่จมหาย

Shadows +70

การดึงส่วนสว่างก็ทำได้ไม่แพ้ใครนะ ลองสังเกตส่วนสว่างดู จะเห็นว่ามีดีเทลบางส่วนที่ดึงกลับมาได้ ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ถ่ายมาสว่างมากๆแล้วค่อยมาดึงลงนะ การดึงส่วนสว่างมันไม่ง่ายเหมือนการดึงส่วนมืดครับ

Highlights -100 , White -49

การถ่ายในสภาวะแสงน้อย ที่ ISO 3200 มีปริมาณ Noise พอประมาณแต่ไม่ถึงขั้นเยอะจนรบกวนภาพรวม

Noise เม็ดเล็กๆ เรียงกัน ถ้าไม่ซูมก็ไม่เห็นแบบชัดเจนครับ แต่สังเกตได้ว่ารายละเอียดความชัดเจนบริเวณเส้นผมจะเริ่มถูกกลบ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าดัน ISO สูงจนเกินไป

ไฟล์ JPEG

ไฟล์ JPEG ของ Canon EOS M6 II ให้สีผิวที่มีความอมชมพูนิดๆ ซึ่งถ้าให้กลับไปเทียบกับรุ่นแรก เราคิดว่ารุ่นใหม่มีความอมชมพูน้อยกว่าหน่อยตามสมัยนิยม

โดยรวมไฟล์ JPEG ให้สีสันที่เรามองว่าแทบจะจบหลังกล้องได้แล้วครับ ปรับแต่งแค่ Exposure นิดหน่อยก็สวยแล้ว

RAW Burst Mode

ไฮไลต์อย่างหนึ่งของกล้อง Canon EOS M6 II นั่นคือฟังก์ชั่น RAW Burst Mode ครับ ฟังก์ชั่นนี้จะทำให้กล้องจับภาพรัวถึง 30 เฟรมต่อวินาที(แบบคร็อป) พร้อมเปิดใช้งาน AF tracking มั่นใจได้ว่าไม่หลุดโฟกัส และไม่พลาดช็อตสำคัญหรือช็อตที่เราคาดเดาไม่ได้ รวมถึงเหมาะใช้ถ่ายอะไรที่มีการเคลื่อนไหวเร็วๆ อย่างเช่นการถ่ายนก

เวลาถ่ายก็ให้กดชัตเตอร์ค้างครับ มันจะบันทึกภาพเรื่อยๆ หลังจากนั้นเราก็จะสามารถมาเลือกเฟรมที่ชอบทีหลังได้ นอกจากนั้นยังบันทึกแบบ Pre-Shooting ได้ก่อน 0.5 วินาทีที่เราจะกดชัตเตอร์ (ฟังก์ชั่น Pre-Shooting ต้องเปิดใช้งาน หรือ Enable ก่อน)

เมื่อเลื่อนดูภาพแล้วเจอเฟรมที่ชอบ ก็ให้ Export ออกมาเป็นไฟล์ JPEG หรือ RAW

ไฟล์ภาพ Burst จะถูกจัดเก็บรวมเป็นไฟล์ RAW ขนาดใหญ่ครับ เมื่อเราดึงแยกออกมาเป็นเฟรมเดี่ยวๆ จะเหลือขนาดไฟล์ละประมาณ 22 MB

การโฟกัส

ด้วยความที่มีระบบโฟกัสแบบ Dual Pixel CMOS AF ทำให้การโฟกัสสลับไปสลับมาระหว่างหลายๆสิ่งสามารถทำได้ง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีระบบโฟกัสดวงตาด้วย ทำให้การถ่ายคนเป็นอะไรที่ง่ายมากยิ่งขึ้นไปอีก

การถ่ายคน แค่ Face-Detection มันไม่พอนะครับสมัยนี้ มันต้องจับดวงตาด้วยถึงจะเรียกได้ว่าโฟกัสเข้า

แต่มีข้อควรระวังนิดนึง คือถ้าเราอยากจะโฟกัสต่อเนื่องบนงานวิดีโอแล้วเปิดระบบโฟกัสดวงตาเอาไว้ กล้องมันจะพยายามมองหาดวงตาก่อนเป็น Priority แรกๆครับ ถ้าเราอยากจะถ่าย Product อยากให้ Product ชัด แต่ถ้ากล้องมันเจอดวงตา มันก็จะวิ่งหาดวงตาก่อน การเซ็ตค่าให้ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญนะ

ดูไฟล์ GIF ข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างครับ อันนี้เปิดระบบโฟกัสดวงตาไว้ จะเห็นว่าโฟกัสสลับไปสลับมาได้รวดเร็วดี พอเอามือมาบังดวงตาหมด กล้องมันก็จะโฟกัสหาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างอื่นแทน

อันนี้ใช้เลนส์ 50mm f1.8 ของ DSLR ต่อ Adapter ด้วยนะ ไม่ใช่เลนส์ Native ซะด้วย

ปุ่มต่างๆ และการควบคุม

ปุ่มของ Canon EOS M6 II มีน้อยแต่เพียงพอต่อการใช้งานแน่นอน การปรับค่าทุกอย่างสามารถใช้วิธีจิ้มหน้าจอเอาได้เลย สะดวก ไม่มีดีเลย์ จะจิ้มเพื่อโฟกัส หรือปรับโน่นนี่นั่นร้อยแปดก็ได้หมด เร็วมาก

สำหรับสายถ่าย Manual (อย่างเรา) การปรับความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสงสามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านการหมุน Dial ด้านบนทั้ง2ตัว ส่วนการปรับค่า ISO ใครอยากเอานิ้วจิ้มหน้าจอ หรือจะกดปุ่ม DIAL FUNC ด้านบนก็แล้วแต่สะดวก ส่วนตัวเราชอบจิ้มหน้าจอนี่แหละ เร็วสุด

หน้าจอ

หน้าจอเป็นแบบสัมผัสและสามารถพลิกขึ้น-พลิกลงได้ หลายๆคนที่ชอบ Vlog คุยกับกล้องเยอะๆ น่าจะชอบจอพลิกขึ้นแบบนี้ เพราะถ้าจอพลิกออกด้านข้าง ตาเราอาจจะมองออกไปสนใจด้านข้างแทน

หน้าจอที่พลิกได้แบบนี้ยังมีประโยชน์เวลาใช้ถ่ายมุมก้มและมุมช้อนด้วย

วิดีโอ

สามารถถ่ายวิดีโอ 4K 25p ได้แบบไม่ครอปครับ เราสามารถใช้ฟังก์ชั่นกันสั่นอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ฟุตเทจดูลื่นไหลขึ้นได้ แต่ฟังก์ชั่นนี้จะเป็นการครอปบริเวณขอบออกไปเพื่อลดการสั่นไหว

อุปกรณ์เสริม

กล้อง Canon EOS M6 II รองรับการใช้งานเลนส์ EF-S (หรือเลนส์ DSLR) ผ่านการต่อ Adapter ใครที่มีกองทัพเลนส์ DSLR อยู่แล้วก็ไม่จำเป็นจำต้องซื้อเพิ่มให้เปลืองตังครับ ซื้อแค่ Adapter ก็ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ความเร็วในการโฟกัสก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยด้วย เรื่องนี้จัดว่าเยี่ยม

นอกจากนี้ การที่กล้องมันไม่มีช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ในตัวไม่ได้แปลว่าเราจะอดใช้ช่องมองภาพนะครับ เราสามารถซื้อ EVF-DC1 หรือ EVF-DC2 มาติดที่ Hotshoe ได้ (ซึ่งในภาพด้านล่าง คือ EVF-DC1 มีจุดเด่นตรงที่ปรับยกช่องมองภาพให้สามารถมองจากด้านบนได้ เผื่อบางทีถ่ายภาพมุมต่ำจะได้ไม่ต้องย่อตัว แถมยังได้ฟิลเรทโทร นิดๆอีกด้วย)

การเชื่อมต่อ

ซัพพอร์ตการส่งภาพไร้สายผ่านแอป Canon Camera Connect

มีช่องเสียบไมค์ ช่องเสียบรีโมตชัตเตอร์ ช่อง Mini HDMI และที่สำคัญคือมี USB Type-C น่าเสียดายจุดเดียวตรงที่ไม่มีช่องเสียบหูฟังครับ จึงไม่สามารถมอนิเตอร์เสียงระหว่างอัดวิดีโอไปด้วยได้

ตัวกล้องมี Clean HDMI Output ให้ใช้งาน เราสามารถที่จะ Live โดยไม่มีข้อมูล Info มารบกวน การปรับให้เป็น Clean HDMI ทำได้โดยการเข้าโหมด Video ก่อน จากนั้นให้กดเข้า Menu สีแดงหมายเลข5 ไปที่ “แสดงข้อมูล HDMI” จากนั้นให้เลือกส่งสัญญาณออก HDMI โดยไม่แสดงข้อมูล

ด้านบนตัวกล้องจะมี Hotshoe สำหรับเสียบอุปกรณ์ต่างๆ อย่างแฟลชแยก ช่องมองภาพ หรือไมโครโฟน อย่างไรก็ตามเนื่องจากหน้าจอมันพลิกขึ้นด้านบน การใช้งานอุปกรณ์เสริมบน Hotshoe ไปพร้อมๆกับหน้าจอพลิกขึ้นจึงเป็นเรื่องยากครับ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

ราคา

  • แพ็กเกจควบเลนส์ EF-M 15–45mm f/3.5–6.3 IS STM ราคา 35,900 บาท
  • แพ็กเกจควบเลนส์ EF-M 18–150mm f/3.5–5.6 IS STM ราคา 46,900 บาท

สรุป

สเปคโดยภาพรวมของ Canon EOS M6 II คือดีอยู่ครับ ยังไม่ถึงกับโดดเด่นที่สุด แต่อย่างไรก็ตามถ้าเรามองเรื่องขนาดด้วย นี่เป็นกล้องที่บาลานซ์มากๆตัวนึงเลย ส่วนตัวเราชอบกล้องตัวนี้นะ เพราะมันเป็นกล้องที่เล็ก สีสวย ใช้ง่าย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ชิวๆ

ข้อดี

  1. ขนาดเล็ก พกพาง่าย
  2. มีกริปที่แม้จะเล็ก แต่ออกแบบได้ดี
  3. ความละเอียดสูงกว่ากล้องในระดับเดียวกัน สามารถนำภาพมาครอปเพื่อจัดคอมโพสได้ดี หรือจะอัดรูปขยายใหญ่ก็ได้
  4. ไฟล์ RAW มีความยืดหยุ่นดี
  5. ไฟล์ JPEG ในสภาวะแสงปกติให้สีสันที่สวย ไม่ต้องแต่งเยอะมาก
  6. ออโต้โฟกัสได้รวดเร็ว มี Eye Detection ทำให้ถ่ายคนได้สะดวกขึ้น
  7. ปุ่มไม่เยอะ ไม่งง แต่เพียงพอต่อการใช้งานนะ
  8. หน้าจอจิ้มโฟกัสได้ ตอบสนองรวดเร็ว สามารถพลิกขึ้นลงได้ ใช้ถ่ายมุมยากๆได้
  9. วิดีโอ 4K ไม่ต้องครอป
  10. ใช้เลนส์ของ DSLR ได้ผ่าน Adapter โดยความเร็วโฟกัสยังรวดเร็วอยู่
  11. มี USB Type-C

ข้อสังเกต

  1. เลนส์คิตต้องหมุนให้ลงล็อกก่อนทุกครั้ง ถึงจะเริ่มใช้งานได้
  2. ไม่มี Weather Sealing ไม่ควรไปเจอฝนหรือสภาพอากาศแย่ๆ
  3. กันสั่นเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ คือการครอปภาพเข้าไปเพื่อลดการสั่นไหว
  4. เลนส์ใน System EF-M ยังมีทางเลือกไม่เยอะมาก อาจต้องมองเลนส์ DSLR ควบกับ Adapter เป็นทางเลือก

Canon EOS M6 II น่าจะเหมาะกับคนที่จริงจังในระดับกลางค่อนไปทางถ่ายเล่นๆ ขำๆ แต่มันจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อคุณมีเลนส์ให้เปลี่ยนนะ เราแนะนำเลนส์ EF-M22mm f/2.0 STM สำหรับผู้เริ่มต้นครับ มันไม่แพงมาก เอาไปฝึกฝนได้ ส่วนใครอยากเบลอหลังเยอะๆไป EF-M32mm f/1.4 STM โลด

หรือถ้าคุณไม่จริงจังในระดับที่ชีวิตนี้จะไม่ซื้อเลนส์แล้วแน่ๆ เราแนะนำให้ลองมองกล้อง Canon PowerShot G7X III ไว้ด้วยอีกซักตัวครับ อันนี้ไม่ใช่มิเรอร์เลส แต่เป็นกล้องคอมแพคที่อาจจะตอบโจทย์เหมือนกัน เพียงแต่มันให้คุณภาพไฟล์ที่ดรอปลงมาพอสมควรเพราะขนาดเซนเซอร์ที่เล็กกว่า

เท่านี้ครับกับรีวิว Canon EOS M6 II หวังว่ามินิรีวิวนี้จะช่วยให้ได้รู้จักกล้องตัวนี้มากยิ่งขึ้น หากสนใจก็หาโอกาสไปลองจับที่ร้านดูนะครับจะได้รู้ว่าเข้ามือรึเปล่า

เราขอลาไปด้วยภาพจาก Canon EOS M6 II ภาพส่วนใหญ่ถ่ายด้วยเลนส์ EF50mm f/1.8 + Adapter ครับ มี EF-M22mm f/2 ด้วยนิดหน่อย ไว้เจอกันรีวิวหน้า ขอให้สนุกกับการถ่ายรูปนะครับ

--

--

Tor Chanon
torcnn

ต่อ ชานนท์ โตเลี้ยง / Photography Tips and Reviews. Instagram & Twitter : @torcnn