ลอง BMW ไฟฟ้า สั้นๆ ในงาน BWM Beyond Electric Chapter 2 — ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ

Tulathorn Sripongpankul
tulathorn blog
Published in
5 min readNov 14, 2023

สวัสดีครับทุกคน เรื่องมันมีอยู่ว่า วันนึงผมนั่งๆ เล่นมือถืออยู่ แล้วก็เห็น ads ของงาน BMW Beyond Electric Chapter 2 ครับ ตอนนั้นก็แบบเอ๊ะ งานน่าสนใจดี แต่ผมจำไม่ได้ว่าผมได้ทำอะไรกับ ads นั้นหรือเปล่า

แต่เวลาผ่านมาจน week ที่แล้ว ผมได้สายจาก BMW Driving Experience ว่าผมได้ไปเข้าร่วมงานในวันที่ 3 พฤษจิกายน ซึ่งมันตรงกับวันศุกร์ สารภาพตรงๆ ครับ ว่าตอนแรกลังเลฯ ว่าจะเอายังไงดี เลยลองถามปลายสายว่าสามารถไปวันเสาร์อาทิตย์แทนได้ไหม ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตอบกลับมาว่า

ถ้าจะไปเสาร์อาทิตย์ ต้องรบกวนติดต่อเซลล์นะคะ รอบของ Driving Experience จะมีแค่วันศุกร์อย่างเดียว

พอได้ยินเช่นนั้นแล้ว หยิบมือถือ โอนมัดจำ แล้วกดลางานเลยครับ

อันนี้คือโปสเตอร์งานครับ — Credit: BMW Thailand page

Disclaimer-1: เนื่องด้วยกฎของทาง BMW ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ในสนาม (ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้วต่อไม่ได้ห้าม) ผมเลยไม่มีโอกาสได้บันทึกภาพ หรือวีดีโอในการขับมานะครับ พยามใช้จินตนาการไปกับผมนะว่ามันเป็นอย่างไร

Disclaimer-2: ในงานจะเน้นตัว BMW i5 เป็นหลัก ทำให้มีรายละเอียดที่เขียนถึงได้เยอะหน่อย แต่ผมจะพยายามเล่าทุกอย่างออกมาเป็นตัวหนังสือ เท่าที่ทำได้นะครับ

ในงานมีอะไรบ้าง?

ข้ามมาเช้าวันที่ 3 พฤษจิกายน ผมขับรถจากบ้านไปถึงที่สนามปทุมธานีสปีดเวย์ สิ่งแรกที่เจอคือ BWM i5 m60 จอดอยู่ข้างหน้า เห็นแว๊บแรกก็คือสวยกว่าในรูปมาก คือในรูปมันจะดูเหลี่ยมๆ แข็งๆ หน่อย แต่พอมาดูคันจริงมันสวยแฮะ

แว๊บแรกที่เห็นคือ สวย สวยมาก อยากได้แต่คงเป็นแค่ฝัน

ลงทะเบียน รับเงินมัดจำคืนเสร็จ เลยเดินเข้ามาดูหน่อย สำหรับผม ผมชอบดีไซน์ทั้งภายนอกภายในนะครับ แต่เดี๋ยวรายละเอียดค่อยว่ากันตอนไปเจาะรถแต่ละคันที่ได้ขับละกัน

ในงานมีกาแฟจาก Diamond coffee, Food truck และของว่างจาก After You ผมเดินไปเอา Honey Toast กำลังจะหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้ เจ้าหน้าที่ก็เดินมาแล้วบอกว่า

อ่าา ข้างบนพร้อมแล้วนะคะ ถ้าทานเสร็จแล้ว รบกวนรีบขึ้นไปหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะไม่ทันบรีฟ

ทุกท่านก็เลยอดเห็นรูป Honey Toast เลยฮะ เพราะต้องรีบกิน (ฮ่าๆ)

ขึ้นมาด้านบน บรรยากาศเหมือนไปเรียน Driving Experience เลย เพราะวิทยากร ก็คือ Instructure ที่สอน ส่วนผู้เข้าร่วม ก็คือนักเรียนเก่าทั้งนั้น

เจออาจารย์ท่านเดิมที่คุ้นเคย ฮ่าๆ

กิจกรรมในวันนี้ จะแบ่งเป็น 4 ช่วง ประกอบไปด้วย

  1. EV Knowledge Workshop เป็นการบรรยายความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรถไฟฟ้า
  2. BMW Driving the Future Workshop: เล่าเรื่องประวัติศาสตร์รถไฟฟ้าของ BMW ตั้งแต่อดีด จนถึงปัจจุบัน รวมถึงอนาคตที่จะไปต่อ
  3. iX On-Road Test Drive: ลองขับ iX บนถนนจริง
  4. EV Dynamic Test Track: ลอง BMW ไฟฟ้าหลายๆ รุ่น บนสนาม เพื่อให้เห็น performance ของรถที่แท้จริง

โดยผู้เข้าร่วมจะถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม แล้วเวียนกันทำกิจกรรม ผมเป็นผู้โชคดี ที่อยู่กลุ่มสาม แต่ทำกิจกรรมแบบ 4 > 3 > 2 > 1 ซึ่งหมายความว่า ผมจะได้ขับรถในสนามเป็นเซตแรก รถ ดอกยาง รวมถึงแบตเตอร์รี่คืออยู่ในสภาพที่ดีที่สุดของวันนี้เลย

ผมรู้สึกว่าทุกคนน่าจะอยากรู้เกี่ยวกับรถมากกว่า ในบล็อกนี้ ผมเลยจะขอข้ามข้อแรกกับข้อสองไปนะครับ ถ้าใครอยากรู้ทั้งสองข้อ หลังไมค์มาคุยกันได้นะครับ

ส่วน On Road Testing ผมก็จะขออนุญาติข้ามเช่นกันครับ เพราะไม่งั้นบล็อกนี้จะยาวมากๆ แต่อาจจะมีเขียนเป็น Short Blog ให้อ่านกันอีกที (ถ้าทุกคนเรียกร้อง ฮ่าๆ )

ในการเล่าเรื่องของบล็อกนี้ ผมจะขอเล่าเป็นสรุป Impression ของผม ไล่เป็นคันๆ ตามลำดับที่ผมขับนะครับ โดยลำดับที่ผมได้ขับจะเป็น

  1. BMW i5 M60 xDrive
  2. BMW i4 eDrive 35
  3. BMW i7 60 xDrive
List ของรถ ที่มีให้เทสวันนี้ทั้งหมด

แต่ก่อนที่ผมจะเล่าถึงตัวรถ เพื่อให้เห็นภาพ ผมขออนุญาติเล่าสภาพการทดสอบของวันนี้ก่อน เพื่อที่ทุกท่านจะได้เห็นภาพตามนะครับ

สภาพ Test Track/ Test Drive ของวันนี้

วันที่ไปเทส ฟ้าขาวมากๆ แต่เหลือเชื่อที่มันไม่ได้ร้อนขนาดนั้น

ผมขออนุญาติเริ่มต้นจากตัว Test Trak ก่อนนะครับ ถ้าใครเคยไปขับรถที่สนามปทุมธานีสปีดเวย์ จะรู้เลยว่าตัวสนามทั้งหมดจะเป็นพื้นราบๆ ไม่มีการปรับองศาโค้งให้รับเลย ทำให้ทางทีมงาน (ตามที่เขาแจ้งในงานนะครับ) ตัดสินใจ Set up สนามบริเวณพื้นที่โล้งๆ แทนที่จะเข้าไปในแทร็กจริงๆ โดยพื้นที่ที่เราทำทดสอบกับวันนี้นั้นอยู่ในกรอบสีแดง โดยจะมีทั้งหมด 4 ฐานด้วยกันก็คือ

  1. สลาลอม (Slalom)
  2. เปลี่ยนเลนฉุกเฉินสองครั้ง (Double Lane Change)
  3. เข้าโค้งด้วยความเร็ว (Speed Cornering)
  4. อัตราเร่ง 0–100 (Acceleration Test)
อันนี้ผมลองร่างสภาพสนามดูคร่าวๆ ให้ทุกคนเห็นภาพ

แต่ละคัน เราจะได้ขับสองรอบ ส่วนได้ขับกี่คันนั้นขึ้นอยู่กับการทำเวลาขอเพื่อนๆ ในกรุ๊ปนั้นครับ (ผมเข้าใจว่าส่วนใหญ่จะได้ขับกันแค่คนละสองคัน แต่ผมทำเวลาได้ดีหน่อย เลยได้ขับ 3 คัน)

พอเห็นภาพกันแล้วใช่ไหมครับ? เข้าเรื่องของเราเลยดีกว่า

Short Impression: BMW i5 M60 xDrive

เกริ่นก่อนว่าสำหรับ i5 จะยาวเป็นพิเศษนิดนึงนะครับ เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องพูดถึงมากๆ

สีขาวว่าสวยแล้ว สีน้ำเงินสวยกว่าอีกครับทุกคน!

เรื่องแรกที่อยากจะย้ำอีกครั้งนึง คือ Exteria ของจริงสวยกว่าในรูปเยอะมากๆ ครับ แนะนำว่าอย่าพึ่งตัดสินใจว่ารถมันไม่สวยจนกว่าจะเห็นตัวจริงครับ

เข้ามาภายใน ความรู้สึกแรกที่เปิดประตูขึ้นมาลองนั่งคือ “มันสวยมาก” สำหรับผม Combination ของคู่สีนี้ คือถูกใจเลยครับ

ภายใน BMW i5

พวงมาลัยเป็นแบบ BMW ไฟฟ้ายุคใหม่ (พวกมาลัยจะเหมือนกันกับ iX และ i7) มีแถบสีแดงช่วยบอก Center ของพวงมาลัยด้วย ที่สำคัญ คือเขามีเข็มขัดนิรภัยที่มีแถบสี BMW M มาให้ด้วยครับ

เรื่อง Position การนั่ง ถือว่าปรับได้โอเค ด้วยส่วนสูง 187 CM ของผม ผมไม่พบปัญหากับท่านั่งเลย การปรับพวงมาลัยและเบาะเป็นไฟฟ้าทั้งหมด ทำให้พอเรา Memory ตำแหน่งแล้ว ทุกอย่างจะถูกจดจำหมดเลย ถือว่าเป็นดีเทลเล็กๆ ที่ดีมาก

ย้ายมาที่ด้านหลัง ผมบอกเลยว่า leg room เหลือเฟือมากๆ ผมสามารถนั่งหลังตัวเองโดยที่ยังสอดเท้าเข้าไปด้านใต้เบาะได้อยู่ ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะคือ “ชนพอดี” ครับ ซึ่งสำหรับผมถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่อันนี้แอบบอกว่ามันเหนือความคาดหมายผมนะครับ ตอนแรกที่มองเข้ามา คิดไว้แล้วเลยว่าไม่น่าจะนั่งหัวตรงได้แน่ๆ พอมันได้แบบนี้ ผมบอกเลยครับว่า “ไม่ขี้เหร่”

Leg room เมื่อผมนั่งหลังตรงจะประมาณนี้
ด้วยความที่หลังคามันเหว้าหัวไว้นิดนึง มันเลยกลายเป็นว่าชนพอดี

ด้านหลังเบาะคู่หน้า จะมีช่อง usb-c แปะมาไว้พร้อมกับช่องที่เป็นตะขอ เท่าที่ทราบคือมันเอาไว้ใส่จอหลังเพิ่ม และก็ที่ประตูมีม่านบังแดนมาให้ (เป็นระบบอัตโนมือ) ส่วนม่านหลังยังไม่ได้ลองกดเล่น แต่คิดว่าน่าจะมีให้เหมือนกันครับ

ส่วนที่เป็นอะไรที่ขัดใจเล็กน้อยคือมันยังมีอุโมงขนาดใหญ่ (ที่ต้องทำไว้เผื่อให้ series 5 เครื่องสันดาป) อยู่ ทำให้คนนั่งตรงกลางจะต้องนั่งครอมแล้วนั่งไม่สบาย แต่ก็ชดเชยด้วยแอร์โซนที่ 3 พร้อมระบบควบคุมแบบสัมผัส ที่ใช้ง่าย ที่สำคัญ มีช่องแอร์เสา B ให้ด้วยนะครับ

มีแอร์หลังพร้อมปรับโซนแยกได้ แต่เสียดายที่ยังมีอุโมงเกียร์อันใหญ๋มากๆ อยู่

ก่อนจะไปขับ มาดูสเปคคร่าวๆ ของ i5 M60 xDrive กันก่อนนะครับ ตัวรถมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ให้พละกำลังอยู่ที 442 กิโลวัตต์ (601 แรงม้า) แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 795 นิวตัน เมตร โดยทาง BMW เคลมไว้ว่าสามารถทำ 0–100 กม/ชม. ได้ภายใน 3.8 วินาที

ในการขับครั้งนี้ นอกจากกรุ๊ปผมจะได้เป็นกรุ๊ปที่ลงสนามกรุ๊ปแรกแล้ว ผมยังได้ขับเป็นคนแรก และเป็น i5 M60 คันแรกที่ได้ลงสนามขอวันนี้ด้วย ในรอบแรก ทาง Instructor ให้ไปในโหมด Comfort ก่อน จากนั้นรอบที่สองถึงค่อยปรับเป็นโหมด Sport

กำลังตั้งใจฟัง Instructure อธิบายเกี่ยวกับตัวรถและทางวิ่ง

เรื่องที่ผมโชคดีอีกอย่างนึงคือในรอบที่ขับ Mode Sport เหมือนตัวรถมันจะถูกปิด DSC ไว้ แล้วทาง Instructure ไม่ได้กดเปิดให้ ทำให้การขับใน Mode Sport ผมคือพึ่งตัวเองไปเลย 80% (เพราะรถไฟฟ้า BMW เขาจะไม่ยอมให้ปิด 100% เพราะว่ามันจะเอารถไม่อยู่)

ในรอบแรก จากออกตัวเข้าสลาลอมที่ความเร็วประมาณ 40–50กม./ชม. สิ่งที่รู้สึกเลยคือว่าการควมคุม การกระจายแรงบิดลงสู่ล้อทำได้ดีมาก และสัมผัสได้เลยว่ารถมันแรง ตอนกดคันเร่งออกรู้สึกเลยว่าระบบมันช่วยให้เราออกตัวได้ smooth

พอผ่านสลาลอม ทาง Instructure ก็ให้เราเติมคันเร่งเข้าไปให้ได้ความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. (แต่รถมันแรง มันเลยไหลไปมี 66–67 ตอนเริ่มเข้า แล้วกลับมาประมาณ 60 ตอนจบ) ผมสามารถหักซ้าย แล้วกลับมาขวาโดยที่รถไม่มีอาการ ไม่ต้องเหยีบเบรค ปล่อยไหลคุมได้ง่ายๆ เลย ประทับใจมาก

ซึ่งมันเลยทำให้ผมสามารถเข้าด่านที่ 3 ที่เป็นการเข้าโค้งได้เร็วขึ้นเล็กน้อย แต่ทาง Instructure ก็มีบอกไว้ว่า พยายามอย่าพึ่งเข้าเกิน 70 กม./ชม. ซึ่งเอาสถานการจริง คือผมเข้าไปที่ 60 > 65 > แล้วออกโค้งที่ 70 กว่า ก่อนที่จะต้องถอนเพื่อเตรียมตัวในการไปอยู่ที่จุดทดสอบอัตราเร่ง ซึ่งเขาจะให้กดเต็มเท่า วิ่งยาวๆ ถึงไพล่อนอีกด่าน ก่อนจะเบรคแล้วกลับมารอบสอง

เสียดายว่าไม่มีรูปถ่ายรถในจังหวะที่ผมขับ เลยขออนุญาติเอารูปในงานมาแปะประกอบนะครับ

เชื่อไหมครับ ขนาดแค่ Mode Comfort ตอนออกตัวยังทำให้ผมมีรอยยิ้ม แล้วหันไปบอกกับ Instructor ว่ามันแรงนะเนี่ย ตัวรถมีอาการส่ายเล็กๆ จากแรงบิตที่ส่งไปยังล้อแบบทันทีตอนจังหวะ Kick-down แต่มันจะไม่ได้รู้สึกมากขนาดนั้นฮะ ต้องจับสังเกตจริงๆ เพราะมันบางมากๆ

แต่ความสนุกมันพึ่งเริ่มต้นครับ เพราะว่ารอบที่สอง มันคือ “ความแรงที่แท้จริง”

พอเข้าสู่โหมดสปอร์ด ตัวรถก็ได้แสดงแสนยานุภาพความแรงระดับ 600 แรงม้าออกมาให้เห็น รอบนี้ ผมลองเข้าสลาลอมไปที่ 70–80 กม./ชม. จากนั้นเข้าสถานีเปลี่ยนเลนที่ความเร็วประมาณ 90 กม./ชม. แล้วเข้าโค้งต่อด้วยความเร็วตอนออกจากนั้น (ซึ่งจำความเร็วไม่ได้ แต่จำได้ว่ามันเกิดขึ้นเร็วมาก) ก่อนที่จะไหลไปจอดที่จุดจอดเพื่อทดสอบ 0–100 กม./ชม.

ผมขอหยุดเล่าตรงนี้ก่อน ว่าผมเซอร์ไพรส์มากๆ กับ Driving Dynamic ที่รถมอบให้ ใช่ครับ มันน่ากลัวมากถ้ามันอยู่ในมือคนที่ไม่มีสกิล แต่ถ้าคุณคุมรถอยู่ รถจะมอบความสนุกให้คุณแบบยิ้มไม่หุบเลย

กลับมาที่การทดสอบ 0–100 กม./ชม. ในรอบโหมด Sport ทาง Instructure ให้ลอง Launch Control โดยวิธีการ set up นั้นง่ายมากๆ แค่

  1. เข้าโหมด Sport
  2. เท้าซ้ายเหยียบเบรคสุด
  3. เท้าขวาเหยียบคันเร่งสุด

พอทำครบทั้งสามอย่างแล้ว หน้าจอจะขึ้นคำว่า Launch Control Active แล้วจังหวะนั้น ตัวรถมันจะสั่นๆ เพื่อบิ้วอารมณ์ผู้ขับ หลังจากที่ Instructure นับ 3-2–1 ผมปล่อยเท้าออกจากเบรค แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ “เปิดวาร์บ”

ผมรู้สึกว่าแค่ผมหายใจเข้า หายใจออก มันก็ถึงจุดเบรคแล้ว คือมันเร็วมากๆ เร็วจนคิดเลยว่า ถ้าอยู่ในมือคนที่ไม่มีสกิล มันจะต้องอันตรารายมากๆ แน่

ผมเลื่อนรถกลับมาที่จุดจอด ลงจากรถพร้อมรอยยิ้มแล้วหันไปหา Head Instructure ที่คุมสถานี กับเพื่อนๆ คนอื่นที่รอต่อคิวอยู่ว่า “รถมันแรง รถมันสนุก รถมันดีจริงครับ ต้องลองๆ อยากให้ลองๆ” คือผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นความสุขที่ได้อยู่หลังพวงมาลัย แบบที่รถคันอื่นที่ผมเคยลองมาให้ไม่ได้เลย แม้กระทั้งตอนเขียนบล็อกนี้อยู่ ผมยังรู้สึกมีความสุขที่ได้นึกถึงมันอีกเลย

ส่วนถ้าถามว่าผมขับมันหนักขนาดไหน? จริงๆ ก็ไม่มากครับ แค่พี่คันข้างหลังเดินมาขอจับมือด้วย พร้อมบอกว่า “น้องไปเร็วมาก น้องไปสุดมาก พี่ตามน้องไม่ได้เลย”

ฉะนั้น บทสรุปของ i5 M60 xDrive คันนี้คือ “รถดี รถแรง แต่คนขับต้องมือถึงที่จะเอามันให้อยู่ด้วย”

Short Impression: BMW i4 eDrive 35

i4 สีเทานมก็สวย สำหรับผมถ้าผมซื้อ ผมอาจจะซื้อสีนี้

มาต่อที่คันที่สองที่ผมได้ลอง (และจริงๆ เป็นคันที่ผมอยากลองมากที่สุด) กันครับ แม้ว่าตัวนี้จะเป็นตัวที่แรงน้อยที่สุดของ Line up BMW i car (ร่วมกับ iX3) แต่ผมมีเหตุผลที่ผมอยากลองก็เพราะว่ามันคือตัวเลือกแรก ของคนที่อยากได้รถเก๋งไฟฟ้า BMW (และเป็นคันที่ผมก็อยากได้มาครอบครองด้วยครับ ฮ่าๆ)

มาว่ากันที่สเปครถคร่าวๆ กันดีกว่าครับ BMW i4 eDrive 35 มาพร้อมกับมอเตอร์ 1 ตัว พละกำลังสูงสุด 286 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง (แบบ BMW แท้ๆ)

ฟิลลิ่งที่ผมได้สัมผัสในการลองในสนาม ผมค้นพบว่าคันนี้ เป็นรถที่คล่องตัวสูงมาก! เชื่อไหมครับ ว่าผมผ่านสลาลอมได้เท่ากับ i5 M60 xDrive เลย และเข้าโค้งได้ความเร็วที่ใกล้กันมากๆ ด้วย สำหรับผม ทุกอย่างที่มันเป็น เหลือพอสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน และวิ่งบนทางด่วน

ในส่วนของ Sport mode มันกระชับกระเฉงขึ้นจริงครับ แต่ถามว่ารู้สึกแตกต่างมากขนาดนั้นไหม ผมมองว่าในชีวิตประจำวัน แค่กดคันเร่งให้สุดใน Comfort Mode เวลาต้องการกำลัง ก็พอแล้วครับ

สิ่งเดียวที่คันนี้อาจจะแพ้รถหลายๆ คัน ในตลาดก็คืออัตตราเร่ง แต่เดี๋ยวก่อน สุดท้ายถ้าคุณอยากจะไปได้เร็วบนถนน มันไม่เกี่ยวกับอัตราเร่งเลย มันอยู่ที่ Driving Dynamic ต่างหาก ซึ่ง i4 คันนี้ มีให้คุณแบบรถ BMW จริงๆ

ถ้าให้ผมสรุป ผมคิดว่ามันเป็นรถที่เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวันของคนชอบขับรถที่สุดแล้วครับ

Short Impression: BMW i7 60 xDrive

มาถึงคันสุดท้ายที่ได้ที่ลองในสนามวันนี้ กับรถผู้บริหารรีบไปประชุม (ฮ่าๆ) โดยคันนี้ พิเศษนิดนึงตรงที่ผมได้มีโอกาสนั่งข้างหลังในสนามด้วย สำหรับผมถือเป็นประสบการณ์ที่ดีเลย

ก่อนที่จะอ่าน impression ของผม มาลองดูสเปคคันนี้ก่อนดีกว่า คันนี้มาพร้อมกับมอเตอร์คู่ ให้พละกำลังสูงสุด 544 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 745 นิวตันเมตร ทำให้รถคันเท่าเรือคันนี้ สามารถทำ 0–100 กม./ชม. ใน 4.7 วินาที

รถ BMW ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ

เมื่อคุณเห็นขนาดตัวรถในตอนแรก คุณอาจจะคิดว่ามันคงไม่มีทางขับสนุกแน่ๆ แต่นั้นไม่ใช่กับ BMW

ในการขับในสนามเดียวกัน ตัว i7 อาจจะไม่ได้คล่องตัวเหมือน i4 กับ i5 แต่มันไม่ได้อุ่ยอ้ายเลยครับ ผมสามารถขับสลาลอมกับเปลี่ยนเลนได้ในความเร็วเท่าๆ กัน โดยไม่ได้จำเป็นต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นเลย

ในโหมด Comfort รถจะตอบสนองแบบผู้ดีๆ ให้ความ Effortless แก่ผู้ขับ ผมเชื่อว่าคนรถที่ได้ขับ i7 จะต้องรู้สึกมีความสุขในการขับรถให้เจ้านายนั่งแน่ๆ แต่เมื่อรถเข้าสู่โหมด Sport ตัวรถก็พร้อมจะ Sport เหมือนชื่อโหมดจริงๆ

ถามว่า Sport ขนาดไหน ก็…ผมสามารถขับให้มันท้ายออกแล้วเอากลับมาได้ (ไม่กล้าใช้คำว่าดรีฟเพราะมันไม่ขนาดนั้น) เหมือนมันเป็นรถเก๋งคันเล็กๆ เท่านั้นเองครับ

ในการเป็นผู้โดยสารด้านหลัง สิ่งที่ผมประทับใจมากๆ ก็คือตัวเบาะ มันโอบกระชับ นั่งสบายมากๆ มันเป็นเบาะที่ถูกดีไซน์มาให้โอบกอดคนนั่งอย่างแท้จริง

ผมลองนั่งท่าหลังตรง ยืดขา แล้วพบว่า Head Room เหลือประมาณสามนิ้วเรียงแนวตั้ง ส่วน Leg Room นั้นเหลือเฟือมากๆ

ช่วงล่างหลังถือว่าทำมาดีมาก ขนาดนั่งในสนามที่คนขับซัด รถยังให้ความสบายกับคนนั่งหลัง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย อันนี้ผมประทับใจมากๆ

สำหรับคันนี้ ผมคิดว่าถ้าคุณอยากได้รถประจำตำแหน่งไฟฟ้า ที่คุณอาจจะอยากเอามาขับเองบ้าง ผมคิดว่าคันนี้คือคำตอบ

สรุป

ก่อนอื่นเลย ผมอยากขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่อ่านมาถึงตรงนี้ มันเป็น 1 ในบล็อคที่ยาวมากๆ แต่ผมกลับไม่รู้สึกเหนื่อยที่จะเขียนเลย

ถ้าให้ผมสรุปสั้นๆ ถ้าคุณเป็นBIMMER แล้วคุณอยากรักษ์โลก ผมคิดว่ายังไง BMW i ก็ตอบโจทย์คุณแน่ๆ อยู่แล้ว

แต่ถ้าคุณเป็นคนทั่วไปที่อยากได้รถไฟฟ้า Premium brand ผมคิดว่า BMW จะเหมาะกับคุณถ้าคุณอยากหารถไฟฟ้าที่ขับสนุก มี Driving Dynamic ที่ดี แต่ถ้าคุณอยากได้รถที่นั่งสบายดุจปุ้ยนุ่น BMW ก็ให้คุณได้ แต่มันอาจะไม่เท่ากับแบรนด์อื่นๆ เท่านั้นเอง

สุดท้าย ถ้าสนใจ ผมแนะนำว่าให้ไปขอเซลล์ลอง แม้ว่าจะเป็นการลองบนถนน แต่เชื่อเถอะ ว่าคุณจะได้คำตอบแน่นอนว่ารถคันไหนเหมาะกับคุณ

ไว้ผมกันใหม่บล็อกหน้า สวัสดีครับ

— — — — — — — — — — — — — — — — — — — — —

Follow me on Social Media

Facebook: www.facebook.com/tulathorn
Twitter: www.twitter.com/tulathorn
IG: www.instagram.com/tulathorn/
LinkedIn: https://www.linkedin.com/in/tulathorn/

Copyright 2023, All rights reserved
www.tulathorn.com

--

--