[TH] Review กักตัว 14 วันที่ The Idle Resident ปทุมธานี

Tulathorn Sripongpankul
tulathorn blog
Published in
3 min readApr 17, 2020

สวัสดีครับทุกคน เอาเข้าจริง Blog นี้ ไม่อยู่ในแพลน ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องเขียน และเอาจริงๆ ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้

แต่ด้วยสถานะการ COVID-19 ทำให้เราได้กลับไทยอย่างงงๆ (และก็ยังไม่รู้จะได้กลับไปสวีเดนเมื่อไหร่ด้วย) ทำให้เรา ต้อง Self-Quarantine ตัวเอง ซึ่งถ้าใครตาม IG หรือ Facebook เรา ก็จะเห็นว่าเราพึ่งกักตัวเสร็จครบ 14 วัน (เมื่อวันที่ 9 เมษา)

เราเลยอยากแชร์ประสบการณ์นี้ไว้ อยากเก็บไว้อ่าน และก็อยากแบ่งปันเรื่องราวของเราให้เพื่อนๆ ด้วย ที่สำคัญ เผื่อเป็นประโยชน์กับคนไทยหลายๆ คน ในต่างประเทศ ที่เกิดว่าจำเป็นจะต้องใช้บริการแบบนี้ จะได้มีข้อมูลนะครับ

แต่ก่อนอื่น ขอเล่าเกี่ยวกับการผ่านเข้ามาในประเทศไทย เมื่อตอนที่ตุลย์มาถึง (26 มีนา 2563) ว่ามันเป็นยังไง เผื่ออรรถรส ในการอ่านนะครับ

เมื่อมาถึงสุวรรณภูมิ

ออกจากเครื่องมา สิ่งแรกที่เห็นคือ “ความว่างเปล่า” บอกเลยครับว่ามันไม่คุ้นสุดๆ เลย ปกติทางเดิน ทางเลื่อนจะต้องเต็มไปด้วยผู้คน แต่วันนั้นคือที่แต่รถเข็นว่างๆ และก็พวกเราประมาณ 20 คน

ผมหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วรีบเร่งฝีเท้า เพื่อที่จะได้ออกจากสนามบินให้เร็วที่สุด

สนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่เกิดเหตุโรคระบาด

เดินตรงมาเรื่อยๆ จะผ่านเครื่องอ่านความร้อน อันนี้ไม่มีอะไร เดินต่อออกมาอีกสักพัก เจอโต๊ะตัวนึงวางขวางทางอยู่ ซึ่งมันคือโต๊ะที่ให้เรากรอกข้อมูลลง Application AOT เพื่อใช้ลงทะเบียนคนที่พึ่งกลับมาจากต่างประเทศ

กรอกเสร็จ แคปหน้าจอ เดินไปอีกโต๊ะนึง เขาจะปริ้นเอกสารเป็นกระดาษให้ เพื่อให้เราไปยื่นที่โต๊ะของกรมควบคุมโรค

ใช่ครับ กรอกเสร็จในระบบ แล้วเราต้องให้ เจ้าหน้าที่ปริ้นเอกสาร ที่มีข้อมูลเหมือนกับใน Application เลยครับ เมืองไทย สุดยอดประเทศแห่ง Paperwork ครับผม

ที่โต๊ะของกรมควบคุมโรค เขาลงตราประทับเอกสาร ให้เซ็นชื่อ และวัดไข้อีกรอบนึง จากนั้นเราเดินไปต่อที่ด่านกักกันโรคครับ ยื่นเอกสาร แสดงเอกสาร แล้วไปต่อที่ตรวจคนเข้าเมือง

ตรงนี้ เราจะได้กระดาษเล็กๆ มาอีก 1 แผ่น เพื่อให้เราเขียนที่อยู่ที่เรากักตัว จากนั้น เอาไปยื่นที่ด่าน ตรวจคนเข้าเมือง

ซึ่งตรงนี้ ผมบอกเลยว่าเป็นเวลาวัดใจมากๆ เพราะมันต้องถ่ายรูป และถอดหน้ากากออก ผมนี้นึก อือหือในใจเลย คิดในใจว่า Process เรื่องถ่ายรูป ต้องเอางี้จริงดิ

ยังดีว่าเราไม่ต้องประทับลายนิ้วมือแล้ว ถือว่าอันนี้ลดความเสี่ยงไปเยอะ ผมยังคงคิดเรื่องถอดหน้ากากอยู่ว่าเอาไงดี เพราะมือนี้จับมาหลายอย่างมากก่อนจะมาถึงตรงนี้

เดชะบุญ ที่เหลือบไปตรงโต๊ะของเจ้าหน้าที่ เห็นเจลแอลกอฮอลอยู่ ผมเลยขอใช้หน่อย ก่อนที่จะจับหน้ากาก

พี่ตำรวจมองหน้าผมงงๆ แล้วก็หยิบขวดมาให้ ผมกดปั้ม 2 ที ถูให้ทั่วมือแล้วรีบถอดหน้ากากอย่างรวดเร็ว พี่ตำรวจเหมือนเข้าใจ รีบถ่ายอย่างรวดเร็ว ผมคิดว่าหน้ากากไม่อยู่บนหน้าไม่น่าเกิน 1 นาที

ถึงแม้ COVID-19 มันไม่แพร่เชื้อแบบ Air born ก็เถอะ แต่แบบ ใครจะอยากถอดหน้ากากในที่เสี่ยงครับ? ไม่มีหรอก

ผ่าน ตม. ปุ๊บ รีบเดินไปรับกระเป๋า ซึ่งจังหวะพอดีกับที่กระเป๋าผมออกมา (เป็นใบแรกเลย) คว้ากระเป๋าปุ๊บ ผมรีบเดินออกไปเลย

และช่วงของการกักตัว เริ่มต้น ณ ตอนนี้

จากสนามบิน ถึงโรงแรม

ที่บ้านผมเลือกใช้บริการพิเศษของทางโรงแรม คือบริการรับจากสนามบิน เดินออกมาปุ๊บ ผมพยายามเล็งหาคนที่ชูป้ายตัวเอง หลังจากเจอกันปุ๊บ คนขับให้เราไปยืนรอนอกตึก รอประมาณ 15 นาที พี่คนขับก็มาพร้อมรถตู้ที่มีแผ่นฟิล์มกั้นระหว่างคนขับและคนนั่ง แถม ผมต้องไปนั่งแถว 2 เพื่อให้ระยะระหว่างเรากับคนขับได้ประมาณ 2 เมตร

อันนี้แคปจากวีดีโอที่ผมถ่ายมา คือเราจะถูกกั้นระหว่างคนนั่งแและคนขับด้วยที่นั่ง 1 แถว และพลาสติกปิดทืบ แบบในรูปเลย

มาถึงโรงแรมปุ๊บ จะมีกะบะให้เราเดินผ่าน เพื่อฆ่าเชื้อรองเท้า ไปที่ โต๊ะ เซ็นเอกสาร รับกุญแจ จากนั้นก็เดินผ่านประตูฆ่าเชื้อ ขี้นไปที่ชั้น 7

และเวลาของการกักตัว ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

กฎระเบียบโดยคร่าวๆ ก็คือ

  1. ห้ามออกจากห้องโดยเด็ดขาด
  2. ห้ามเปิดหน้าต่าง
ด้านหน้าทางเข้าสู่ที่พัก(แต่ถ่ายวันกลับ) สั่งเกดตดีๆ ที่ด้านขวา จะมีถาดใส่น้ำยาฆ่าเชื้อ ให้เราเดินผ่านก่อนเข้าบริเวณตึก

นั่นหมายความว่า หลังจากที่เราเดินเข้าประตูห้องปุ๊บ ชีวิตการ 14 วันหลังจากนี้ ผมจะต้องใช้ชีวิตทั้งหมดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เล็กๆจนกว่าจะครบช่วงเวลากักตัว

ห้องพัก

ห้องพักที่ผมเลือก เป็นไซต์กลางครับ (คือมันมีที่เล็กกว่านี้ และใหญ่กว่านี้) สำหรับผม ถือว่าพอดีเลย

สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้ก็คือ

  1. เตียง Queen size + หมอน 4 ใบที่สูง และคุณภาพโอเคเลย (ถ้าคุณชอบนอนหมอนสูง)
  2. โซฟาในห้อง
  3. Internet TV
  4. Account Netflix <- แต่อันนี้ไม่ได้ใช้ เพราะใช้ Account ของตัวเอง
  5. Hi-SPEED WiFi
  6. ตู้เย็น
  7. ไมโครเวฟ (อันนี้ถ้าอยากใช้คือต้องบอกให้เขายกมาให้นะ แต่ไม่มีค่าใช้จ่าย)
  8. ไดรเป่าผม
  9. อุปกรณ์เครื่องใช้ในห้องน้ำต่างๆ

ส่วนเรื่องอาหารและการบริการก็ประกอบไปด้วย

  1. อาหารสามมื้อ เสริฟเวลา 8:00, 12:00 และ 18:00
  2. วัดไข้สองเวลา 8:00 กับ 18:00
  3. บริการผู้ช่วย The Idle สามารถช่วยออกไปซื้อของที่เราต้องการได้ (มีค่าบริการเพิ่ม)
  4. ส่วนถ้าเราสั่ง Delivery มาเอง อันนี้ไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม เราให้พนักงาน Delivery ส่งของที่ Reception ของโรงแรม แล้วทางผู้ช่วย The Idle จะทำขึ้นมาให้ เช่นเดียวกับของที่มีคนเอามาให้
ทุกวัน อาหารจะมาในกล่องแบบนี้ โดยที่จะมีให้เลือก 2 เมนู ต่อมื้อ

โดยสรุป ก็คือเป็นง่อยครับ อยู่แต่ในห้อง อยากได้อะไรบอก เดี๋ยวทางผู้ช่วย The Idle จะ Support ให้

เราจะสั่งอาหารผ่านทางไลน์ของที่พัก รวมถึงติดต่อขอความช่วยเหลือต่างๆ เช่น ไปซื้อ Starbuck

การใช้ชีวิตในช่วงกักตัว

เป็น looping ที่เรียกว่าน่าเบื่อเลยครับ เพราะเราได้อยู่แค่ในห้องเท่านั้น ตื่นเช้ามา ไปอาบน้ำ นั่งหน้าคอม อ่านหนังสือ เรียนออนไลน์ ทำการบ้าน เตรียมสอบ และแค่นั้นจริงๆ ครับ

บางวัน อาจจะพิเศษหน่อย เช่น ที่บ้านเอาของมาให้ ก็จะได้เจอหน้าม๊ากับน้องสาว ผ่านหน้าต่างห้อง หรือวันไหนง่วงมากๆ ก็มีสั่งกาแฟ Starbuck มากินบ้าง

จริงๆ ก็ไม่บ้างนะ เพราะว่า สองวีค ก็หมดค่า Starbuck ไปเป็นพันเหมือนกัน ฮ่าๆ

แต่ถึงมันจะน่าเบื่อ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะเอาเข้าจริง ใน 1 วันเรามีโอกาสได้เจอคนอื่นอย่างน้อยก็ 3 ครั้ง (ตอนรับข้าว) และทุกครั้ง พนักงาน ผู้ช่วย The Idel ก็จะชวนคุยบ้าง ให้อย่างน้อยเราได้มี Physicaly conversation บ้าง

อ้อ อย่างนึงที่เราประทับใจมากๆ คือมีอยู่วันนึง ช่วงบ่าย อยู่ดีๆ ก็มีคุ๊กกี้มาให้ พร้อม Post-it พร้อมข้อความเล็กๆ บนนั้น มันอาจจะดูธรรมดา แต่เอาจริงๆ มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่นเยอะขึ้นมากๆ เลยครับ

ทุกวันนี้ คุ๊กกี้ชิ้นนี้ยังไม่ได้กินเลย ฮ่าๆ

ข้อเสีย

เอาเข้าจริง ผมนึกข้อเสียของ The Idle ออกแค่ข้อเดียวเองนะครับ นั่นก็คือ “ไกลจากเมือง” ซึ่งมันส่งผลให้ตัวเลือกในการสั่ง Delivery มันน้อยมากกกกกกกกกกกกก

และแค่นั้นจริงๆ ครับ

ก่อนจากกัน

ถ่ายจังหวะกำลังจะกลับพอดี จะคิดถึงห้อง 3705 นะ :)

ณ วันที่บทความนี้ออก ผมคิดว่าทางรัฐบาลอาจจะเปลี่ยนกฎระเบียบเรื่องการกักตัวไปแล้ว แต่ถ้าเกิดสมมุตติว่าเกิดยังมีการให้ Self-Quarantine อยู่ ผมแนะนำมากๆ นะครับ ให้ออกมากักตัวข้างนอกแบบนี้ แทนที่จกักตัวที่บ้าน

เราไม่มีทางรู้เลยครับ ว่าเราจะป่วย หรือไม่ป่วย ฉะนั้น ผมคิดว่าเราไม่ควรเอาครอบครัวของเราไปเสี่ยงด้วยกับเรา มันไม่คุ้มเลยในความคิดของผม

คือเข้าใจนะครับ ว่ามันก็คงไม่ใช่คนไทยที่มาจ่ากต่างประเทศทุกคน ที่จะมีกำลังในการ Support ค่าใช้จ่ายนี้ (เป็น 1 ในเหตุผลที่ผมคิดหนักมาก ว่าจะกลับมาดีไหม) ฉะนั้นผมก็หวังว่ารัฐบาลจะสามารถ Support บางอย่าง(ที่ถูกต้องตามหลักอนามัย)​ให้กับคนที่ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ ที่จะจ่ายได้

และก็ ตุลย์วางแผนว่าจะทำ Youtube chanel นะครับ และเรื่องแรกก็น่าจะเป็น Vlog กักตัว ขออนุญาติโปรโมตไว้ล่วงหน้า แล้วถ้าพร้อมเมื่อไหร่ จะมาโปรโมตผ่าน Social Media ของตัวเองนะครับ

สุดท้าย ขอให้ทุกคนสุขภาพดี ปลอดภัย ห่างไกลจาก COVID-19 นะครับ แล้วเมื่อสถานะการดีขึ้นมากพอให้เราเจอกันได้ เดี๋ยวเราค่อยมาเจอกัน

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ สวัสดีครับ

— — — — — — — — — — — — — — — — — — — — —

Follow me in Social Media

Facebook: www.facebook.com/tulathorn
Twitter: www.twitter.com/tulathorn
IG: www.instagram.com/tulathorn/

Copyright 2020, All rights reserves
www.tulathorn.com

--

--