[TH] Year review 2022 — ปีหน้าใจดีกับเราหน่อยนะ

Tulathorn Sripongpankul
tulathorn blog
Published in
5 min readDec 31, 2022

สวัสดีครับทุกคน เป็นธรรมเนียมในทุกปีที่เราจะต้องมาสรุปกันปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นไปบ้าง ซึ่งปีนี้ก็เป็นอีกปีที่เราก็จะเขียนเหมือนเดิมอีกเช่นเคย

และก็เหมือนๆ กับทุกๆ ปี ที่เราจะเขียนรวดเดียวจบ (ทำแบบนี้น่าจะเป็นครั้งที่สามแล้ว) เรารู้สึกกว่าการเขียนที่เดียวมันเฟรช แล้วเราจะ honest กับเรื่องที่เราจะเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของเรา

ก่อนจะเขียนเรื่องราวของปีนี้ สารภาพว่าแอบไปอ่านเรื่องราวที่เขียนไว้เมื่อปีที่แล้วแบบเร็วๆ และก็พบว่ามันแทบจะเหมือนปีนี้เลย ก็คือมันมีเรื่องราวแย่ๆ และเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น ผสมๆ กันไป (แต่ในฟิลเรา ณ ตอนที่เขียน Paragraph นี้ คือ มันแอบแย่กว่าดีนะ)

เกร่นมาเยอะเกินไปและ เข้าเรื่องเรากันเลยดีกว่า

ATK with negative result
ไม่มีรูปไหนเหมาะแก่การเปิดบล็อกไปมากกว่ารูปนี้แล้ว

ปีที่พังทั้งร่างการและจิตใจ

ขอเปิดปีนี้ด้วยเรื่องสุขภาพก่อนเลย เพราะมันคือCatagoryที่น่าที่จะดราม่าที่สุดของปีนี้ได้เลย หลายๆ คนอาจจะไม่รู้ว่าสภาพร่างกายและจิตใจเราแย่มาก เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันสะสมและก็กดดันเรา จนทำให้เรื่องง่ายๆ บางเรื่อง เราวิตกกังวลไปหมด

เข้า รพ. บ่อยเป็นว่าเล่นเลยปีที่ผ่านมา

เอาเรื่องสุขภาพกายก่อน เป็นปีที่น่าจะสนิทกับคุณหมอกายภาพที่สุดแล้ว อาการปวดหลังของเราในวัย 26 ปีมันโจมตีหนักมาก มีบางช่วงที่บางวันทีถึงขั้นนั่งไม่ได้เลย โชคดีว่าได้ไปเจอคุณหมอที่เก่ง ใช้ทุกวิถีทางในการช่วยแก้ไขปัญหาปวดหลังของเราให้มันทุเลาลงไปเยอะมากๆ จนพอให้เราสามารถกลับมาแก้ปัญหาต่อด้วยการออกกำลังกายได้

ส่วนเรื่องจิตใจ ตอนนี้ได้มาสองโรค(ตามที่นักจิตวิทยาวินิฉัยนะครับ)​ ก็คือ Panic Attract กับ Anxiety ซึ่งมันรบกวนชีวิตเราประมาณนึงนะ ตอนแรกๆ เราพูดเลยว่าเราดื้อและไม่ใจดีกับตัวเองเท่าไหร่ อวดเก่งคิดว่าเอาอยู่ เคราห์ะดีว่าเราเคย Mental Breakdown มาครั้งนึงแล้ว มันทำให้รู้ขีดจำกัดตัวเองให้ไม่ถึงจุดนั้น ไม่อย่างนั้นคงอวดเก่งจนพังไปมากกว่านี้

Side note สำหรับคนที่เป็นห่วงเรื่องสภาพจิตใจนะว่าตอนนี้อยู่ในความดูแลของนักจิตวิทยา และเราอยู่ในกระบวนการบำบัดอยู่ และเรายังไม่จำเป็นต้องพึ่งการรักษาด้วยการใช้ยา (และก็ไม่อยากใช้ด้วย)

ถ้ามองในแงดี ผมยังไม่ติดโควิท (แม้จะเสี่ยงจนไม่รู้จะเสี่ยงยังไงแล้ว) บอกตรงๆ ว่า งงตัวเองมากว่ารอดมาได้ยังไง ต้องขอบคุณพลังของ Pizer 2 + Moderna และสกิลการเอาตัวรอดจากสวีเดน ที่ช่วยปกป้องให้เรายังไม่ติดสักที

ปีนี้เรื่องงานก็พีคเอาเรื่อง แต่ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเยอะมากๆ

TDLR: หลายๆ คนคิดว่าเรายังอยู่ BRIKLอยากบอกให้รู้ไว้ว่าออกมาตั้งแต่เดือน 8 แล้วนะครับ

อันนี้เป็น team meal ครั้งแรก และครั้งเดียว ที่เคยได้จัดสมัยทำงานอยู่ BRIKL

ถ้าต้นปีมีคนมาบอกว่า ปีนี้จะทำงาน 3 บริษัท ผมคงคิดว่ามันต้องบ้ามากแน่ๆ แต่น่านแหละครับชีวิต มันบ้าแบบนั้นแหละ

ผมตัดสินใจออกจาก BRIKL ด้วยเหตุผลภายในหลายๆ เรื่อง (และหลายๆ เรื่องมันกัดกินสุขภาพผมมากๆ) บวกกับจังหวะชีวิต ที่มีโอกาสใหม่ๆ เด้งเข้ามา เลยตัดสินใจให้ผมลาออก และเปลี่ยนโหมดการทำงานจากที่เป็น Internal มาเป็น External บ้าง

BRIKLER crew!!

เอาจริงๆ การตัดสินใจลาออกจาก BRIKL เป็นการตัดสินใจที่ยากมากๆ เลยนะ เพราะที่นี้เรามาทำงานกันด้วย Mindset ว่าเรามาสนุกด้วยกัน เรามาเล่นด้วยกัน ซึ่ง Enviorment การทำงานแบบนี้มันไม่ได้หาได้ง่ายๆ

เลิกงานแล้วไม่รู้จะกินอะไร…ง่ายๆ เดินเข้า Supermarket แล้วก็ทำกินกันเองสิ

แม้ว่าตอนจบมันจะไม่เป็นดังที่ผมหวังไว้ แต่เราได้เรียนรู้กับสิ่งนี้เยอะมากๆ เลยนะ เอาเรื่องเนื้องานก่อน เราได้เห็นและได้เรียนรู้หลายๆ อย่างมากๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ถ้าเราเป็น Internal เราจะไม่เห็นในมุมนี้

อีกเรื่องคือมันสอนให้เรารู้จักรสชาติของความเสี่ยง และความผิดพลาด บอกก่อนว่าผมไม่ได้จบกับที่ที่สองไม่ดีนะ เรียกได้ว่ามันเป็นการตัดสินใจร่วมกันที่มันดีกับทั้งสองฝ่าย แต่มันปฎิเสธไม่ได้หรอกว่ามันกระทบสภาพจิตใจเรา และเราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการมัน

แต่สุดท้าย ผมก็ผ่านมันออกมาได้ พร้อมกับคำว่า “คนไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่” และ “ที่บางที่ มันก็ไม่ใช่ที่ของเรา”

ณ วันที่ผมเขียนบล็อกนี้ ผมเริ่มกับที่ใหม่มาได้ 1 เดือนกว่าแล้ว ทุกอย่างดูไปได้สวยและผมรู้สึกว่าผมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็นงานที่ท้าทาย และเป็น Business Domain ใหม่หมดเลย ตอนนี้ทุกอย่างของผมเหมือนผ้าขาวให้ผมใช้ creativity ได้เต็มที่ อีกเรื่องคืองานนี้ เปิดโอกาสให้เราได้เดินทาง ซึ่งเราเชื่อเสมอว่าการเดินทางนั้นทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ อยู่เสมอๆ

ยังไงฝากเอาใจช่วยและก็รอติดตามได้ผ่าน Social Media ของผมนะค้าบ (เดี๋ยวผ่านโปรแล้วเดี๋ยวลงว่าทำงานที่ไหน)

ส่วนในมุมของงานสมาคมฯ การเป็นผู้จัดการค่ายครั้งแรกเราก็กล้าพูดว่าเราก็ไม่ได้ทำมันได้ดีในแบบที่เราตั้งมาตราฐานไว้ มันยังมีหลายๆ อย่างที่เรารู้สึกว่าเราต้องจัดการให้ได้ดีมากกว่านี้ ขอรอเขียนเต็มๆ ตอนจบค่าย YWC เลยล่ะกันนะค้าบ

น้องๆ #YWC18 ประชุมหาไอเดียจัดค่าย #YWC19

ช่วงโฆษณา: สำหรับคนอ่านท่านใด ที่ผ่านไปผ่านมาแล้วอยากสนับสนุนค่าย YWC19 สามารถติดต่อตุลย์ได้โดยตรงเลยนะครับ จะทักมาโซเชี่ยวส่วนตัว หรือว่าจะเมล์มาที่เมล์ tulathorn@webmaster.or.th ก็ได้ครับ

ปีแห่งการเติบโตและรับผิดชอบมากขึ้น

นอกจากเรื่องงานกับเรื่องสุขภาพของตัวเอง เรื่องในครอบครัวก็มาเต็มคาราเบลเหมือนกัน ด้วยความที่คุณตาคุณยายอายุมากขึ้น บวกกับความเครียดของคุณแม่ที่ต้องดูแลผู้สูงอายุติดกันมาอย่างยาวนาน ทุกอย่างมันเลยระเบิดออกมา เป็นโกโก้ครั้นช์เลย

เรื่องพีคๆ ปีนี้ก็คือคุณยายล้ม ทำให้จากที่พอจะขยับตัวเองได้บ้าง เช่น กระดึบไปนั่งขับถ่ายบนเก้าอี้ขับถ่ายเอง หรือกระดึบไปนั่งรถเข็นเอง กลายเป็นว่าอาการทรุดแบบแค่ลุกขึ้นมานั่งเองได้เฉยๆ เรียกได้ว่าเกือบติดเตียง 100 เปอร์เซ็นเลย โชคดีหน่อยว่าช่วงที่เข้าโรงพยาบาลเป็นช่วงที่ผมรอเปลี่ยนงานมางานปัจจุบัน เลยพอมีเวลาไปช่วยนอนเฝ้าได้

เด็กๆ นอนเฝ้าหลาน พอหลายโต ก็มานอนเฝ้าคืน หายกันนะ

ส่วนคุณตา สุขภาพก็เสื่อมถอยลงไปมาก แต่คุณตาแรกๆ ยอมรับความจริงไม่ได้ (แกยังรู้สึกว่าแกปีนบันไดตัดต้นไม้ได้ และยังต้องจัดการทุกเรื่องตามภาษาผู้ชายจีน) ว่าแกไม่ไหวแล้ว การมีปากเสียงกับม๊าผมจึงเป็นเรื่องปกติมากๆ มิหน่ำซ้ำ แกเครียดกับเรื่องราวในชีวิตทั้งหมด แต่แกไม่พูด มันเลยทำให้สภาพจิตใจแกไม่เหมือนเดิม

มันน่าเศร้าที่ผมกล้าพูดได้ 100 เปอรเซ็นแล้วว่าคุณตาผมทีผมเคยรู้จักมาตลอด 26 ปีได้หายไปจากผมแล้ว เขาไม่ใช่คนเดิมที่ผมรู้จักอีกแล้ว

แต่น่านแหละครับ โลกนี้มันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน สุดท้ายมันต้องเป็นผมที่ต้องจัดการความคิดตัวเองให้ได้

ส่วนคุณแม่ ผมกล้าพูดเลยว่ามันหนักมากๆ แค่ผมต้องไปเฝ้าคุณยายสั้นๆ 3–4 วันผมยังเหนื่อยมากๆ (จนขับรถแล้วมึนๆ แล้วไปจิ้มคันข้างหน้ามาแล้ว) แต่สุดท้ายเหมือนมันไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะถ้าคุณแม่ไม่ดู ก็ไม่มีใครสามารถดูได้ตลอดเลย

ผมพูดเลยว่าแม่ผมคือโคตรเก่งที่ดูแลผู้สูงอายุมาได้ขนาดนี้ และแน่นอนครับว่ามันแลกมาด้วยสุขภาพของคุณแม่ผมที่มันก็เสื่อมมากกว่าคนวัย 50 กว่าๆ โดยทั่วไป แต่ท่านยังแข็งแรงอยู่ครับ ไม่ต้องห่วง :)

ก่อนคุณยายป่วย ยังพอมีเวลาเอาคุณแม่ออกมาคาเฟ่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่ได้และ ปล่อยเด็ก(แก่)อยู่ตามลำพังไม่ได้เลย

อ้อ มีประโยคนึงที่หลายๆ คนชอบพูด และผมรู้สึกว่ามันไม่ช่วยอะไร ก็คือ “ดีแล้ว ได้ทำบุญที่ยิ่งใหญ่ ดูแลพ่อแม่ยามแก่” สำหรับผม คนที่พูดประโยคแบบนี้มีสองประเภท คือ 1 คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย กับ 2 คนที่ใช้เงินแก้ปัญหา สิ่งที่ผมสังเกตคือประโยคนี้มันทำร้ายคนที่ดูแลอยู่มากๆ ครับ ฉะนั้น ถ้าไม่รู้จะพูดอะไร แค่พูดว่าเป็นกำลังใจให้พอ

การเรียนคือจุดที่ยากที่สุดสำหรับปีนี้

ใช่ครับ ผมยังไม่จบ แต่ผมเริ่มกลับมาหาหัวข้อ และกำลังจะเริ่มลงมือทำแล้ว และมันยากมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เหตุผลคือ การทำธีสิสมันไม่ได้ให้อะไรกับผมนอกจากมันเป็นด่านสุดท้ายที่จะได้ใบปริญญาโทมา

คือเราไม่ได้อยู่ในโหมดที่สามารถนั่งอ่านอะไรยาวๆ แล้วก็เอามาเขียนแบบ academic ได้แล้ว สารภาพเลยว่าทุกครั้งที่เปิดธีสิสขึ้นมา เหมือนจะเป็นซึมเศร้าทุกครั้ง มันน่าเบื่อ และไม่มีอะไรดึงดูดอยากให้ทำมันต่อเลย

แต่นั้นแหละ จบจากการเขียนบล๊อกแล้ว ผมก็คงจะไปทำธีสิสต่อ คือมันยังไม่ถึงไหนเท่าไหร่ และเวลามันจำกัดมากๆ (พูดตรงๆ ตอนนี้คือแบบ ทำไปๆ งั้น และ แก้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบ)

คนรอบตัวยังคงเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิต

เอาเข้าจริงๆ ปีนี้เรารู้สึกว่าสังคมเราแคบขึ้นนะ แต่เหมือนมันโฟกัสมากขึ้นกับคนที่อยู่รอบๆ เรา พวกเขายังคงคอย Support และให้กำลังใจในกับทุกเรื่องในชีวิตของเราเสมอ

บางคน เราไม่เคยเจอหน้ากันในชีวิตจริงด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นกัลยามิตรที่ดีของเรามากๆ แม้แต่เพื่อนเราที่อยู่กันคนละทวีปแล้ว ก็ยังคอยถามไถ่ เป็นห่วง ให้คำแนะนำ และพูดคุยกับเรา

มันทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าคนพวกนี้ คือกลุ่มคนที่เราจะแคร์มากๆ และเราจะไม่ยอมให้อะไรมาพรากความสัมพันธ์ของเรากับกลุ่มคนพวกนี้ได้เลย

ขอบคุณทุกคนมากๆ นะ ในปีที่ผ่านมา เติบโตไปด้วยกันนะ

โดนชวนไปร้านเนื้อ แล้วเราไม่กินเนื้อ แต่ไม่เป็นไร แค่ได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้อง ก็โอเคและ
ชาวแก๊งค์สวีฯ ณ บ้านท่านทูตสวีเดนประจำประเทศไทย
ชาวแก๊งค์สวีเดนมาไทยทั้งที ก็ต้องนัดเจอกันหน่อย
มานั่งชิวกันบ้าง

กิจกรรม กิจกรรม และ กิจกรรม

เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ทำมันนานมากๆ แล้ว แต่ปีนี้มีโอกาสได้กลับมาทำงานกิจกรรมอีกครั้ง ก็คืองาน YWC Reunion น่านเอง

เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน เป็นความงงๆ ที่เหนื่อย แต่ก็สนุก เหมือนได้บรรยากาศเก่าๆ กลับมา ต่างกันที่ว่าตอนนี้เหมือนแก่แล้ว และพลังไม่เหมือนเดิม

ต้องขอบคุณรุ่น 16 ด้วยที่ยอมมาจอยด้วยกัน เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ และก็ขอโทษล่วงหน้าเลยถ้าเกิดว่าทำที่ขาดตกบกพร่องไปด้วยค้าบ

หน้าตอนจบงานคือไม่ไหวกันสักคน ฮ่าๆ

ปีที่ใช้เงินเยอะที่สุดในชีวิต

หนี้ก้อนโตในชีวิต หวังว่ามันจะหมดโดยเร็วนะ

ครับ กับวัย 26 ปี ผมตัดสินใจที่จะซื้อทรัพย์สินที่เป็นความฝันวัยเด็กของผม นั่นก็คือ “บ้าน”

ถ้าถามถึงเหตุผล เอาจริงๆ คือไม่อยากจ่ายภาษีไปทิ้งเปล่าๆ เลยคิดว่ายอมเอาเงินที่ต้องจ่ายภาษี มาซื้ออสังหาฯ ดีกว่า ส่วนทำไมถึงซื้อบ้าน ส่วนนึงเพราะด้วย Covid-19 ทำให้โลกเรียนรู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องทำงานแบบเข้าออฟฟิตทุกวัน ซึ่งพื้นที่คอนโดมันไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่ ครั้นจะให้ซื้อห้องใหญ่ ราคาก็แพงจนเสียดายเงิน

Side note: ส่วนตัวมองว่าคอนโดมันจะไม่ใช่พื้นที่อยู่อาศัยหลักอะ และหลักการซื้อคอนโด มันต้องมองถึงการปล่อยเช่าเป็น Passive Income ด้วย การที่เราซื้อห้องใหญ่ พอเราปล่อยต่อ มันเหมือนเราไปเล่นอีกตลาด ซึ่งเราตอบไม่ได้เลยว่ามันจะโอเคหรือเปล่า

อีกเรื่องคือพอมีโควิท ทำให้เราต้องระวังตัวในการใช้ชีวิตมากขึ้น เท่ากับว่าการไปใช้พื้นที่ส่วนกลาง หรือจะลงไปเอาของข้างล่าง ก็จะต้องเปลี่ยนไป ผมอาจจะโรคจิตก็ได้นะ แต่ตลอดเวลาที่อยู่หอที่สวีเดน หรืออยู่คอนโดที่ไทย ผมจะอาบน้ำใหม่ทุกครั้งหลังจากออกจากห้อง (เส้นแบ่งคือลิฟต์) คือเรารู้สึกว่าข้างนอกห้องเรามันไม่เซฟ มันแออัด และโควิทมันอยู่บนพื้นผิวสัมผัส ฉะนั้น ถ้าเราเอาตัวเราออกไปเจอผิวสัมผัสอื่น เราจะคลีนตัวเองทันที

ด้วยเหตุผลข้างต้น เลยทำให้ตัดสินใจว่าซื้อบ้านเถอะ อย่างน้อยก็มีพื้นที่กว้างๆ และก็ไม่ต้องอาบน้ำหลังจากไปเอาของที่ดิลิเวอรี่มาส่งที่บ้าน ซึ่งตอนแรกเลยนะ เป็นคนชอบบ้านแบบทาวโฮมสามชั้น เพราะมันยังให้ฟิลแบบเหมือนอยู่คอนโด พื้นที่ใช้สอยเยอะ และยังพอให้มีที่ทำสวยกรุบกริบ

แต่ด้วยความที่คุณแฟนอยู่บ้านที่มีพื้นที่เยอะมาทั้งชีวิต ตอนแรกก็เลยแบบ บ้านแฝดก็ได้วะ ราคาไม่แรงมาก พื้นที่ข้างนอกอาจจะเยอะขึ้นนิดนึง แต่มันไม่ถึงกับบ้านเดียวที่มีสวนสี่ด้านหรอก

ไปๆ มาๆ จบที่ซื้อบ้านเดี่ยวฮะ

บ้านตอนกำลังก่อสร้างอยู่ สารภาพว่าตอนได้ยินเลขที่บ้านคือใจสั่นสุด ถามตัวเองเลยว่าทำยังไงถึงจะได้หลังนี้

ซึ่ง…งงตัวเองเหมือนกันครับ สิ่งที่แชร์ให้คนที่อยากจะซื้อบ้านฟัง ในฐานะเจ้าของบ้านมือใหม่คือ

  1. ถ้าตั้งงบไว้ x ถึง y ล้าน จงระรึกไว้เสมอว่ามันจะถึง y หรือใกล้ๆ y น่านแหละ
  2. เวลาตั้งงบ อย่าลืมเรื่องกู้ตกแต่งอีก 10 เปอร์เซ็นด้วย แล้วควรเอาเข้ามาคิดในงบไปเลย จะได้ไม่บานปลาย (อันนี้บานมาแล้ว)
  3. เตรียมใจไว้เลยว่ากู้เกิน 10 เปอร์เซ็นมันไม่มีทางพอ หาเงินสดเผื่อไว้เลยถ้าอยากได้ให้มันสมบูรณ์ในทีเดียว หรือไม่งั้นก็อาจจะต้องอยู่ไป ปั้นไป (และก็ทำความสะอาดวนไป)
  4. ซื้อบ้านจะต้องมีเวลา และใจเย็น พยายามต่อรอง ไม่งั้นมันจะบานแบบเอาไม่หยุด ฉุดไม่อยู่
  5. จงไปเดินเปรียบเทียบราคาเยอะๆ แล้วเราจะรู้เองว่าราคานี้ควรซื้อเลย ห้ามรออีกแล้ว ราคานี้คือราคาที่ควรรอให้มันเป็น และราคานี้คือราคาที่ไม่ควรซื้อ
  6. ของบางอย่าง ซื้อตอนจะใช้ดีที่สุด แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ราคาที่ถูกที่สุด
  7. ของบางอย่าง เสียเวลาหาร้านส่งข้างนอกมันจะถูกกว่าในห้าง เช่น แอร์
  8. การได้ผู้รับเหมาดีเป็นลาภอันประเสริฐ
อันนี้คือตอนที่สร้างเสร็จแล้ว

เอาเป็นว่า เดี๋ยวทำบ้านเสร็จหมด จะเขียนบล็อก Home tour พร้อมอธิบายว่าทำอะไรไปราคาเท่าไหร่นะครับ จะได้เป็นความรู้ (สัญญาว่าจะไม่ดองนะ)

[เรื่องที่หลายๆ คนน่าจะรออ่านมากที่สุด] ความสัมพันธ์

ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่คนรออ่านมากที่สุดและ อาจจะเพราะหลายๆ คนเอาใจช่วย หรือใดๆ ก็แล้วแต่ ขอบคุณมากๆ ครับ ที่คอยติดตามเรื่องความรักของผม

กุมภาปีหน้า (2023) ผมกับแฟนก็จะคบกันได้ 5 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราผ่านบททดสอบ บทเรียน เรื่องราวอะไรต่อมิอะไรไม่รู้เต็มไปหมด (แล้วผมก็เป็นแฟนที่ไม่ค่อยจะน่ารักเท่าไหร่ด้วยสิ ฮ่าๆ ) แต่ก็ยังขอบคุณนางที่ยังอยู่ด้วยกันตลอด พยายามทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมคิดว่าผมหาใครแบบนางไม่ได้อีกแล้ว ขอบคุณนะ ❤

ทริปล่าสุด ที่ไปพักผ่อนที่เขาใหญ่ด้วยกัน

สำหรับผม ตอนนี้เราสองคนคงไม่ต้องพิสูจน์ความรักที่มีให้กันอีกแล้ว มันเหลือแค่พิสูจน์ว่าถ้าต้องอยู่ด้วยกัน 24/7 แล้วมันจะรอดไหม ซึ่งผมก็หวังว่าเราจะถึงจุดนั้นในอีกไม่ช้าไม่นานนะ

ผมคิดว่ามันเป็น Step ที่สำคัญมากๆ อาจจะเพราะว่า Background เราเติบโตมาในครอบครัวที่เห็นภาพของคนสองคนที่เข้ากันไม่ได้แล้ว แต่ยังอยู่ด้วยกัน เห็นภาพ Domestic violence ที่เป็นแผลในจิตใจเรา ทำให้เราอยากมีครอบครัวที่มีแต่ความรัก ความเข้าใจ และช่วยเหลือกัน เรากลัวว่าถ้าไม่มี Step นี้ เราอาจจะทำมันพังก็ได้

ส่วนใครที่รอลุ้นว่าจะแต่งเมื่อไหร่ บอกเลยครับว่า “ถ้าอยากให้รีบแต่ง รบกวนช่วยโอนเงินสมทบทุนมาด้วยนะครับ” (ฮ่าๆ ) ผมคิดว่าถ้าคนอ่าน อ่านพารากราฟข้างบนอย่างเข้าใจ น่าจะมีคำตอบแล้วแหละว่าผมจะแต่งเมื่อไหร่

วันเกิดแฟนผม ทานข้าวกับที่บ้านแฟนฮะ

สำหรับผม ชีวิตคู่มันสำคัญกว่าเรื่องการแต่งงาน และครอบครัวที่ผมกำลังจะสร้างมันขึ้นมา จะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ฉะนั้นถ้าผมจะแต่งงาน ผมต้องมั่นใจว่ามันจะไม่พังในอนาคต เพราะผมไม่อยากให้ลูกของผมโตขึ้นมาแล้วมีแผลแบบที่ผมมี

สรุป

ถ้าพูดแบบเอาง่ายๆ ผมคิดว่าปี 2022 คือปีที่ผมเบญเพศแหละ หลายๆ อย่างมันเลยไปลื่นไหลแบบที่เราอยากให้มันเป็น แต่ผมเชื่อเสมอว่าไม่มีใครฝันดีได้ตลอดชีวิต และไม่มีใครฝันร้ายโดยไม่ตื่น

และเอาเข้าจริง พอได้ Reflect ตัวเอง มันก็ทำให้เห็นว่าชีวิตในปีที่ผ่านมามันก็ไม่ได้แย่ไปหมดนิหน่า ใช่แหละ มันหนัก แต่มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรตั้งเยอะแยะ และมันก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่ระหว่างทางให้เรายิ้มกับมันไปด้วยเหมือนกัน

มันก็เหมือนละครแหละ ถ้ามันสุขไปหมด มันก็คงไม่สนุก มันต้องมีรสชาติอื่นๆ บ้าง ถึงจะสมบูรณ์แบบ

แต่คือมันไม่ต้องหนักขนาดนี้ก็ได้ไงงงงงง

ทิ้งท้าย

ปีนี้อยากตั้ง New Year Resulution ง่าย 1 เรื่อง คือเลิกดองบล็อก เอาจริงๆ ด้วยงานที่ทำมัน มันทำให้เราต้องเขียนและสื่อสารเยอะ มันทำให้พอมาถึงบล็อกตัวเองแล้วมันขี้เกียจ

แต่เพราะว่าการเขียนมันคือส่วนช่วยในการลำดับความคิด ซึ่งผมคิดว่ามันจะช่วยผมให้ผมจัดการกับปัญหาสุขภาพของตัวเองได้ ผมไม่อยากป่วย อยากเป็นคนทีส่งพลังบวกให้กับทุกคนได้เหมือนเดิม ฉะนั้น อะไรที่มันทำให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น ทั้งกายและใจ ผมจะทำ

สุดท้าย Happy New Year 2023 ครับ ขอให้ทุกคนที่ผ่านมาอ่านมีความสุขในช่วงวันหยุด และขอให้ปี 2023 เป็นปีที่ดีของทุกคนนะครับ

ขอปิดบล็อกด้วยรูปกับวง SeasonFive ในงานปีใหม่ที่ RBSC ล่ะกันครับ

— — — — — — — — — — — — — — — — — — — — —

Follow me on Social Media

Facebook: www.facebook.com/tulathorn
Twitter: www.twitter.com/tulathorn
IG: www.instagram.com/tulathorn/
LinkedIn: https://www.linkedin.com/in/tulathorn/

Copyright 2022, All rights reserved
www.tulathorn.com

--

--