Recent Period of Modernist Urban Planning
ยุคปลายของผังเมืองสมัยใหม่ หมายถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความเคลื่อนไหวหรือทิศทางของการวางผังเมืองถูกพัฒนาทั้งในเชิงวิชาการและในทางปฏิบัติ มีการพัฒนาแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ในที่นี้ขอนำเสนอสามแนวคิดที่สามารถแสดงถึงทิศทางในการศึกษาและพัฒนาทางด้านผังเมืองที่แตกต่างกัน โดยสองแนวคิดแรกกล่าวถึงการศึกษาและวิเคราะห์เมืองผ่านการมองเห็นและการรับรู้ของมนุษย์ ได้แก่ จินตภาพของเมือง (Image of the city) และบุรีทัศน์หรือภูมิทัศน์เมือง (Townscape) ส่วนแนวคิดที่สามกล่าวถึงการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ (Community-based approach) ซึ่งเน้นการรักษาและสืบทอดวิถีชีวิตดั้งเดิม และการอยู่ร่วมกันของคนในชุมชน
- Image of the city / Kevin Lynch (1918 –1984)
- Townscape / Gordon Cullen (1914 –1994)
- Community-based approach / Jane Jacobs (1916 –2006)
Image of the City by Kevin Lynch
Kevin Lynch (เควิน ลินช) เป็นนักวิชาการด้านผังเมืองชาวอเมริกัน จบปริญญาตรีด้าน City Planning จากสถาบัน MIT (Massachusetts Institute of Technology) ทำงานวิจัยและเขียนหนังสือวิชาการด้านการวางผังเมืองจนต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็นศาสตราจารย์กิตติคุณด้านผังเมือง เควินเป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างกว้างขวางจากงานศึกษาเพื่อหาวิธีการแปลผลการรับรู้กายภาพของเมืองของผู้ใช้งาน ให้กลายเป็นภาษาที่ผู้ออกแบบสามารถทำความเข้าใจและนำมาใช้ในการปรับปรุงผังเมือง ให้เป็นเมืองที่ผู้ใช้งานสามารถจดจำและเข้าใจได้ง่าย (Legibility)
เควินศึกษาและมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการรับรู้กายภาพของเมือง โดยผลงานการศึกษาที่มีชื่อเสียงของเขาคือ งานศึกษาจินตภาพเมืองที่ถูกเขียนเป็นหนังสือชื่อ The Image of the City ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1960 บทความในหนังสือเป็นผลที่ได้จากการศึกษา สังเกต และเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยใช้เมืองในอเมริกาจำนวน 3 เมือง ได้แก่ Boston, Jersey City และ Los Angeles เป็นพื้นที่ศึกษา
ในหนังสือได้รายงานผลการศึกษาเอาไว้ว่า “ผู้ใช้พื้นที่เมืองมีความเข้าใจสภาพแวดล้อมในรูปแบบซ้ำๆที่คาดเดาได้ โดยภาพของเมืองในความทรงจำจะถูกสร้างเป็น Mental Map หรือแผนที่ในความคิด ซึ่งภาพนั้นมักจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่ซ้ำๆกันห้าองค์ประกอบ ได้แก่ Node, Edge, Path, District และ Landmark”
Image of the City หรือ จินตภาพของเมือง เป็นแนวคิดที่กล่าวถึงการรับรู้เมืองในจินตภาพโดยเชื่อว่าเมืองที่มีองค์ประกอบครบทั้งห้าประการ และแต่ละองค์ประกอบมีความชัดเจน จนทำให้ผู้ใช้งานทั้งคนในและคนนอกพื้นที่ สามารถรับรู้และจดจำได้ และทำให้เมืองนั้นมีโครงสร้างของเมืองชัดเจน มีเอกลักษณ์ ผู้คนสามารถอ่าน(เมือง)ออกและจดจำ(ทิศทาง)ได้ ไม่เกิดความสับสนหลงทาง
ความหมายขององค์ประกอบของเมืองทั้ง 5 ประการ
NODE
หมายถึงจุดรวมกิจกรรมที่มีผู้คนมารวมกันเป็นจำนวนมาก เช่น สถานีรถโดยสาร ป้ายรถเมล์ วัด โบสถ์ มัสยิด ตลาด สวนสาธารณะ ลานกีฬา อาคารสาธารณะต่างๆ โดยปัจจัยหลักของการเกิด Node คือ การรวมตัวของคนเพื่อทำกิจกรรมบนพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง สามารถเป็นได้ทั้งพื้นที่ภายนอกหรือภายในอาคาร
Node ที่มีคุณภาพควรรองรับการใช้งานกิจกรรมต่างๆได้ดี มีตำแหน่งที่ตั้งและการจัดวางเส้นทางให้สามารถเข้าถึงได้สะดวก และสามารถสะท้อนถึงอัตลักษณ์ของพื้นที่ได้
EDGE
หมายถึง เส้นขอบหรือแนวเขตที่แบ่งพื้นที่ออกจากกันเป็นสองฝั่ง Edge ที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้คนรับรู้ถึงขอบเขตของพื้นที่ เช่น
- คูเมืองหรือกำแพงเมืองที่พบในเขตเมืองเก่า ช่วยสร้างการรับรู้ถึงขอบเขตของย่านนั้น
- แนวรั้ว กำแพง ถนน ทางรถไฟ คลอง แม่น้ำ ที่ทำให้รับรู้ถึงการแบ่งแยกระหว่างสองพื้นที่
- ความแตกต่างของพื้นที่ ที่ทำให้ผู้ใช้รับรู้ได้ จากรูปแบบอาคาร ขนาดของเส้นทาง บรรยากาศที่แตกต่าง เป็นต้น
การใช้ Edge ในงานออกแบบชุมชนเมือง การมีสิ่งบ่งบอกอาณาเขตของย่านชุมชนหรือพื้นที่ใด จะช่วยทำให้คนในชุมชนและผู้ใช้งานพื้นที่รับรู้ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของย่านชุมชน รู้สึกถึงความเป็นสถานที่หรือเป็นชุมชนเดียวกันมากยิ่งขึ้น โดยวิธีการสร้างการรับรู้ถึงเส้นขอบหรืออาณาเขต สามารถทำได้หลายวิธี เช่นการสร้างประตูเมืองเพื่อทำให้คนที่เดินทางผ่านเส้นทางเข้าเมืองรับรู้ถึงความเป็นย่านชุมชนชัดเจนขึ้น
PATH
หมายถึง เส้นทางที่ผู้คนในเมืองใช้สัญจร ทำหน้าที่เชื่อมพื้นที่ภายในเมืองเข้าด้วยกัน Path ที่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนเกิดจากการมีอาคารหรือองค์ประกอบสองข้างทางต่อเนื่องเป็นแนวเส้นชัดเจนเป็นที่จดจำ หรือมีการใช้งานอย่างหนาแน่นเป็นเส้นทางหลักของเมือง หรือเป็นเส้นทางที่ใช้เชื่อมสถานที่สำคัญของเมือง
Path ที่ดีนอกจากรองรับการสัญจรได้ดีแล้ว ควรสร้างการรับรู้และจดจำได้ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากการสร้างความต่อเนื่องขององค์ประกอบสองข้างทาง จากแนวอาคารหรือแนวต้นไม้ รวมถึงการเพิ่มจุดหมายตา เช่น วงเวียน อนุสารีย์ สะพาน ซุ้มประตู ฯลฯ เพื่อเป็นหมุดหมายที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละช่วงของเส้นทางที่ผู้ใช้เส้นทางนั้นเกิดการรับรู้ สร้างความประทับใจจนสามารถจดจำเส้นทางหรือ Path นั้นได้อย่างชัดเจน
DISTRICT
หมายถึง ย่าน เขตพื้นที่ หรือชุมชนที่มีลักษณะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ละพื้นที่มักมีชื่อเรียกเฉพาะที่สะท้อนถึงความเป็นมา โดยสามารถจำแนกหรือรับรู้ความเป็นย่านได้จากปัจจัยหลายประการ
- การมีรูปแบบอาคารที่คล้ายกันหรือกลมกลืนกัน เช่น ย่านเมืองเก่าที่มีอาคารในยุคสมัยเดียวกัน กลุ่มชุมชนริมน้ำที่มีบ้านไม้ใต้ถุนสูง ย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยอาคารพาณิชย์และอาคารสูง เป็นต้น
- การมีกลุ่มอาคารหรือพื้นที่ที่มีกิจกรรมประเภทเดียวกัน เช่น ย่านการค้าที่อาคารส่วนใหญ่ประกอบกิจกรรมค้าขายประเภทต่างๆ
- คนในพื้นที่เป็นกลุ่มเชื้อชาติเดียวกัน เช่น ย่านคนจีน ย่านคนเวียตนาม โดยสามารถรับรู้ความเป็นย่านได้จากวิถีชีวิต วัฒนธรรม อาหาร เป็นต้น
- คนในพื้นที่เป็นกลุ่มคนที่นับถือศาสนาเดียวกัน ที่สามารถรับรู้และบ่งบอกความเป็นย่านได้จากศาสนสถาน วัฒนธรรม การแต่งกาย เป็นต้น
LANDMARK
หมายถึง จุดหมายตา จุดเด่น หรือจุดสังเกต เป็นงานสถาปัตยกรรมหรือประติมากรรมที่ทำหน้าที่เป็นหมุดหมายทางสายตาให้สามารถมองเห็นและรับรู้ได้ โดย Landmark ที่มีคุณภาพควรแสดงถึงอัตลักษณ์รวมถึงเพิ่มคุณภาพของพื้นที่และเส้นทางจากการมีคุณสมบัติสามประการ ได้แก่
- Outstanding คือดูโดดเด่น มองเห็นได้ง่าย แตกต่างแยกจากสภาพแวดล้อม
- Proportion คือมีขนาดใหญ่และสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
- Location คือจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่าย
การออกแบบจุดหมายตาหรือ Landmark ที่ดีต้องคำนึงถึงฉากหลังหรือ Background โดยฉากหลังควรทำหน้าที่ส่งเสริมให้ Landmark เป็นจุดเด่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในงานออกแบบเมือง นอกจากการออกแบบ Landmark ให้สวยงาม มีเอกลักษณ์ น่าจดจำแล้ว ต้องมีการออกแบบหรือควบคุมอาคารที่เป็นฉากหลังให้สามารถส่งเสริมความเป็นจุดเด่นของ Landmark ได้ เช่น ควบคุมสี และความสูงให้สอดคล้องกัน
Townscape by Gordon Cullen
Gordon Cullen (กอร์ดอน คันเลน) เป็นสถาปนิกและนักออกแบบเมืองชาวอังกฤษที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิด Townscape (ภูมิทัศน์เมือง หรือ บุรีทัศน์) โดยแนวคิดนี้นำเสนอทฤษฎีและวิธีการใหม่ในการสำรวจและวิเคราะห์กายภาพของเมืองจากการมองเห็นและสัมผัสกับสภาพแวดล้อมของเมืองในระดับสายตา หรือในแบบที่คนทั่วไปที่ใช้ชีวิตบนท้องถนนได้มองเห็นและสัมผัสในชีวิตจริง ซึ่งสิ่งที่ได้จากการสำรวจนั้นถูกนำมาใช้สร้างงานออกแบบเมืองที่สอดคล้องกับจิตวิทยาในการรับรู้ของมนุษย์ เช่น ความต้องการของมนุษย์ในการรับรู้ถึงช่วงเวลา แสงแดด ร่มเงา อุณหภูมิ รวมถึงความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้ถึงลักษณะรูปทรง ความสูง ความกว้างหรือแคบของพื้นที่ ความขรุขระของพื้นผิว เป็นต้น
แนวคิดภูมิทัศน์เมืองถูกบันทึกไว้ในหนังสือที่เขาเขียนชื่อ “The Concise Townscape”ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1961 และถูกตีพิมพ์ซ้ำมาแล้วมากกว่า 15 ครั้ง โดยนับเป็นหนึ่งในหนังสือด้านการออกแบบเมืองที่เป็นที่นิยมมากที่สุดฉบับหนึ่งในศตวรรษที่ 20
คัลเลนนำเสนอทฤษฎีและวิธีการในการสำรวจและวิเคราะห์เมืองด้วยสายตา โดยตั้งข้อสังเกตว่าการรับรู้และมองเห็นสิ่งต่างๆภายในเมืองนั้น เป็นการรับรู้ที่ระดับสายตาและในขณะเคลื่อนที่ จนนำไปสู่การศึกษาเมืองโดยการบันทึกภาพแบบ Serial Vision หรือการจดบันทึกภาพของเมืองในแต่ละจุดตามลำดับการเคลื่อนที่ผ่าน ซึ่งรายละเอียดของพื้นที่จะถูกบันทึกด้วยภาพลายเส้น สะท้อนบรรยากาศ การใช้งาน สัดส่วน พื้นผิว แสงเงา และองค์ประกอบต่างๆ อย่างละเอียด นอกจากนี้คัลเลนยังสร้างตารางและสัญลักษณ์เพื่อใช้ในการจดบันทึกบรรยากาศและลักษณะต่างๆของพื้นที่ ทำให้สามารถนำข้อมูลจากการสำรวจและจดบันทึกไปใช้ในการออกแบบปรับปรุงพื้นที่ได้ในอนาคต
ความสนใจในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้พื้นที่ผ่านประสาทสัมผัส ทำให้คัลเลนสามารถเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ในหนังสือของคัลเลนจึงนำเสนอการสร้างเมืองให้มีเอกลักษณ์จดจำได้จากการสร้าง Sense of Enclosure ซึ่งหมายถึง การสร้างการรับรู้ถึงขอบเขตและการโอบล้อม และ การสร้าง Sense of Place ซึ่งหมายถึง การสร้างการรับรู้ถึงอัตลักษณ์หรือลักษณะเฉพาะของพื้นที่
Community-based Approach by Jane Jacobs
Jane Jacobs (เจน จาคอบส) มีอาชีพหลักเป็นนักข่าว นักเขียนคอลัมน์ นักทฤษฎี และนักเคลื่อนไหว เป็นคน American-Canadian ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกรณีเกี่ยวกับเมืองโดยเฉพาะในด้านสังคมและเศรษฐกิจ
เจนได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือ The Death and Life of Great American Cities ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1961 ว่าการฟื้นฟูเมือง (Urban Renewal)โดยการไล่รื้อย่านแออัด (Slum Clearance) คือการไม่เคารพความต้องการที่แท้จริงของผู้อยู่อาศัย ซึ่งแนวคิดและทิศทางการเคลื่อนไหวของเจนสวนทางกับการพัฒนาเมืองในยุคนั้นที่เน้นการตัดถนนและใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทาง รวมไปถึงการสร้างพื้นที่พักอาศัยในลักษณะรื้อทำลายเมืองเดิม
การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของเจน คือการรวบรวมคนในชุมชนและเพื่อนบ้านในเขตที่เธออาศัยอยู่ คือ Greenwich Village Neighborhood เป็นการแสดงออกเพื่อปกป้องพื้นที่ชุมชนจากการถูกรื้อทำลาย อันเป็นผลจากแผนพัฒนาเมืองโดย Robert Moses ซึ่งผลสรุปสุดท้ายเจนทำได้สำเร็จโดยสามารถยกเลิกการก่อสร้างทางด่วน (Lower Manhattan Expressway) ที่กำลังจะสร้างพาดผ่านเมือง Manhattan และเขตชุมชน Greenwich ที่เธออาศัยอยู่
เจน มีมุมมองต่อเมืองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบไปด้วยระบบการทำงานที่มีการเติบโตไปตามช่วงเวลาและมีการเปลี่ยนแปลงปรับตัวไปตามลักษณะการใช้งาน โดยเชื่อว่าเมืองที่ดีควรเติบโตอย่างสอดคล้องกับพฤติกรรมของมนุษย์และสังคม เมืองควรเป็นพื้นที่รองรับการใช้ชีวิตของผู้คนและการตอบสนองต่อการมีปฏิสัมพันธ์ในสังคม จึงเป็นที่มาของการนำเสนอ ทฤษฎีชีวิตสังคมเมือง หรือการพัฒนาเมืองจากความต้องการที่แท้จริงของชุมชน (Community-based Approach) ไม่ใช่จากนโยบายของผู้บริหารหรือนักการเมือง
ทฤษฎีชีวิตสังคมเมือง
ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คน โดยเชื่อว่าเมืองที่ดีต้องมีทางเท้าที่เอื้อต่อการใช้งาน มีสวนสาธารณะเพื่อเป็นที่พบปะและพักผ่อนหย่อนใจ มีร้านค้าปลีกเพื่อจับจ่ายซื้อขายในเขตชุมชน พื้นที่เมืองควรมีความหนาแน่นที่พอเหมาะ มีขนาดชุมชนที่ไม่เล็กเกินไปจนมีจำนวนคนไม่เพียงพอให้เกิดร้านค้า ไม่ใหญ่เกินไปหรือมีจำนวนผู้อยู่อาศัยมากเกินไปจนเกิดความแออัด โดยการพัฒนาเมืองตามแนวคิดของเจนประกอบด้วย
- ส่งเสริมการใช้ที่ดินอย่างผสมผสาน (Mixed Use) ภายในชุมชนควรประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน ร้านค้าและบริการ สวนสาธารณะ (Live, Work, and Play) เพื่อให้ผู้คนสามารถพึ่งพาและใช้ชีวิตประจำวันในเขตชุมชนได้
- สนับสนุนให้ในเขตชุมชนมีกิจการร้านค้าขนาดเล็ก และอุตสาหกรรมขนาดเล็กทีไม่สร้างมลพิษ
- รักษาอาคารเดิมที่มีความสำคัญเพื่อสืบทอดความเป็นชุมชนให้ผู้คนรู้สึกคุ้นเคยและมีความผูกพันกับชุมชนหรือเขตที่อยู่
- ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้คนในพื้นที่ สร้างความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของสถานที่
Eyes on the street
เป็นวิธีการที่เจนนำเสนอเพื่อทำให้เมืองเป็นพื้นที่ปลอดภัยโดยใช้การดูแลกันในหมู่เพื่อนบ้าน ใช้การออกแบบถนนให้มีความปลอดภัยด้วยการดึงดูดให้มีผู้คนผ่านไปมาตลอดเวลา การออกแบบร้านค้าและอาคารริมทางให้มีช่องเปิดด้านหน้าอาคาร ที่ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นและเพิ่มความปลอดภัยให้กับพื้นที่บริเวณนั้น โดยนำเสนอสามวิธีการที่จะช่วยให้ถนนในชุมชนเกิดความปลอดภัย
- มีการแบ่งแยกขอบเขตของพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวอย่างชัดเจน
- เปิดช่องเปิดและระเบียงของอาคารเข้าสู่ถนน เปิดให้คนในชุมชนได้มองเห็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาในพื้นที่ รวมทั้งทำให้คนแปลกหน้ารู้สึกถึงความปลอดภัยและไม่ถูกคุกคาม
- ควรสนับสนุนให้มีอาคารที่มีผู้ใช้งานตลอดเส้นทางเดินเท้า เพื่อให้คนในอาคารสามารถมองเห็นกิจกรรมที่เกิดภายนอก ไม่มีใครชอบมองถนนที่ว่างเปล่า การส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมที่ผสมผสาน