Urban Farming
สวนแบ่งปัน & Edible Garden City
หนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการใช้ชีวิตของผู้คนคืออาหาร จากอดีตที่การเพาะปลูกในแต่ละชุมชนเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในชุมชนนั้นๆ ต่อมาเมื่อการเติบโตและเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วจากชุมชนกลายเป็นเมืองใหญ่ ทำให้เมืองไม่สามารถผลิตอาหารเองได้อีกต่อไป เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกที่มีอยู่ถูกใช้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่การค้า และกิจกรรมบริการอื่นๆไปเสียแล้ว
ขณะเดียวกัน วิถีในการทำเกษตรซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอาหารกำลังถูกคุกคามทั้งจากความแปรปรวนของภูมิอากาศ การต่อสู้ระหว่างการทำเกษตรแบบอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ต้นทุนสูงกับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่ไม่สามารถควบคุมผลผลิตได้ ไปจนกระทั่งการสูญเสียพื้นที่เกษตรจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการนำผลผลิตทางการเกษตรเข้าสู่เมือง คนเมืองต้องเผชิญกับราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มให้กับการขนส่ง คุณภาพที่ลดต่ำลงจากระยะเวลาและคุณภาพในการจัดเก็บ และความเสี่ยงต่อสารพิษตกค้างที่มาพร้อมกับผลผลิตต่างๆที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
จากปัญหาและภาวะความเสี่ยงดังกล่าว ทำให้คนเมืองต้องหันกลับมาหาวิถีทางเพื่อความอยู่รอดด้วยการสร้างความมั่นคงทางอาหารโดยพึ่งพาทรัพยากรที่มีอยู่ในเขตเมือง เป็นที่มาของแนวคิดการทำเกษตรในเขตเมืองโดยถูกพัฒนาขึ้นแตกต่างกันไปตามบริบทของพื้นที่และกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง
ความหมายของการเกษตรในเขตเมือง Urban Agriculture คือ การนำเอาพื้นที่ขนาดเล็กในเขตเมือง (เช่น ที่ดินว่างเปล่า สวน ริมรั้ว ระเบียง) มาใช้ปลูกพืชและผลผลิตทางการเกษตร เพื่อบริโภคหรือขายในตลาด เป็นแหล่งอาหารและรายได้ให้กับคนในเขตพื้นที่นั้น ทั้งนี้ Urban Agriculture มีลักษณะเป็นแนวคิดที่มีพลวัต มีความหลายหลาย ครอบคลุมตั้งแต่การปลูกเพื่อบริโภคในระดับครัวเรือนไปจนถึงการนำผลผลิตเข้าสู่ตลาดเพื่อแปลงเป็นรายได้ ในบางครั้งอาจถูกเรียกว่า Urban Farming ซึ่งหมายถึงการเพาะปลูกที่มีการนำผลผลิตมาบริโภค ซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนกัน โดยที่ Urban Farming ถูกนำมาใช้ในลักษณะที่มีการร่วมมือกันของกลุ่มคน เป็นการปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารของคนในชุมชน สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน สร้างงาน สร้างรายได้ และส่งเสริมวิถีการบริโภคเพื่อสุขภาพโดยเปิดโอกาสให้คนได้เข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยในราคาประหยัด
แนวคิดการเกษตรในเขตเมืองถูกพัฒนาไปพร้อมๆกับการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง มีโครงการจำนวนมากที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในประเทศเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งความมั่นคงทางอาหารยังเป็นปัญหาใหญ่ของหลายเมือง แต่ละโครงการมีจุดเริ่มต้น รูปแบบการดำเนินงาน และทิศทางการพัฒนาที่แตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ตัวอย่างสองโครงการจากประเทศไทยและสิงคโปร์ที่จะกล่างถึงต่อไปนี้ สามารถสะท้อนภาพการพัฒนาการเกษตรในเขตเมืองที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี
สวนแบ่งปัน ประเทศไทย
เป็นการพัฒนาพื้นที่รกร้างในเมืองเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด โดยใช้พื้นที่ว่างด้านล่างของเส้นทางรถไฟรางคู่ซึ่งในปัจจุบันถูกยกรางสูงขึ้น มาทำเป็นแปลงผักสวนครัว สร้างพื้นที่อาหารปลอดภัยขึ้นในชุมชนริมทางรถไฟในเขตเมืองขอนแก่น ดำเนินการโดยทีม Hug Town ร่วมกับสถาบันจัดการความรู้เกษตรกรรมยั่งยืนภาคอีสาน, สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส), คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และชุมชนริมทางรถไฟ
ผู้เริ่มต้นการขับเคลื่อนนี้คือ ผศ.ดร.สักรินทร์ แซ่ภู่ (อาจารย์และนักวิชาการด้านผังเมือง) จากโจทย์ความคิดที่ต้องการหาวิธีจัดการที่ดินของภาครัฐให้เกิดประโยชน์กับผู้คนในเมือง ร่วมกับความต้องการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับกลุ่มคนที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยในเขตเมืองโดยไม่มีรายได้เพียงพอที่จะเช่าหรือซื้อบ้านเป็นของตนเอง ทำให้ต้องอาศัยที่ดินริมทางรถไฟเป็นพื้นที่ปลูกสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งทั้งสองโจทย์นี้เป็นปัญหาที่มีมานานจนกระทั่งเมื่อเกิดสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ความเดือดร้อนรุนแรงขึ้นเนื่องจากคนกลุ่มนี้ขาดรายได้ ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ต้องอาศัยอาหารจากการบริจาคเพื่อความอยู่รอด นอกจากนี้ ชุมชนที่อยู่ต่อเนื่องกันมานานโดยขาดการยึดโยงจากโครงสร้างทางสังคม ต่างคนต่างที่มา ต่างคนต่างอยู่ ทำให้ผู้คนเริ่มไม่รู้จักกันและขาดความสัมพันธ์ในเชิงสังคม ทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงกระตุ้นและเป็นที่มาสำคัญของการขับเคลื่อนสวนแบ่งปัน
การดำเนินงานของสวนแบ่งปัน เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิชาการและคนในพื้นที่ในลักษณะร่วมกันสร้าง (Co-create) มีการจัดทำกระบวนการที่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การพัฒนาและอบรมทักษะ เป็นการเรียนรู้ร่วมกันผ่านงานวิจัยผสมผสานไปกับการลงมือทำ (Learning-by-doing) โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ว่างที่ไม่มีการใช้งานให้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้โดยเฉพาะการเป็นแหล่งอาหารของคนในชุมชน ลดภาระค่าใช้จ่ายบางส่วนและเพิ่มโอกาสในการพบปะและสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชน
เป้าหมายในอนาคตของสวนแบ่งปันคือ การขยายผลและส่งแรงกระเพื่อมโดยเฉพาะในประเด็นความมั่นคงทางอาหารไปยังพื้นที่และกลุ่มคนอื่นๆ สร้างความเคลื่อนไหวในสังคมเรื่องผักปลอดภัย การใช้พื้นที่สาธารณะและอาหารเชื่อมโยงกลุ่มคนต่างๆ เช่น การส่งผักจากชุมชนให้กับร้านอาหารหรือโรงเรียน เป็นต้น
กิจกรรมที่กำลังดำเนินการ เช่น
1) แปลงผักที่กระจายอยู่ในชุมชนริมทางรถไฟ โดยใช้พื้นที่ว่างที่มีอยู่ในแต่ละชุมชน ปัจจุบันมีเนื้อที่ของแปลงปลูกผักรวมกันประมาณ 1 ไร่ และกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
2) “ปันสุขริมราง” เป็นการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยรวบรวมและแจกจ่ายของใช้จำเป็นและผลผลิตจากแปลงผักที่ปลูกตามฤดูกาล ปลอดสารเคมีอันตราย สดใหม่และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้
3) “คูปองปันกัน” คือรูปเเบบการช่วยเหลือด้านอาหารในระยะเร่งด่วนของภาคประชาชนด้วยกันเองจากวิกฤตโควิด-19 โดยการระดมทุนเเละทรัพยากรจากผู้คนในสังคมเเละภาคีท้องถิ่น แจกจ่ายเป็นคูปองคนละ 100 บาทต่อสัปดาห์เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนเปราะบางให้เข้่าถึงอาหารราคาถูก ฟื้นฟูเศรษฐกิจร้านอาหารรายย่อยในชุมชนให้สามารถมีรายได้ในภาวะวิกฤต โดยมีร้านอาหารเข้าร่วมโครงการกว่า 10 ร้าน
โครงการนี้นอกจากสร้างความอิ่มท้องให้กับหลายคนในชุมชนแล้ว ยังสร้างความอิ่มใจให้กับคนทั่วไปด้วยวลีแสนน่ารักที่ว่า “พวกเราตัวเล็กมาก แต่เราอยากแบ่งปัน”
Edible Garden City จากประเทศสิงคโปร์
Edible Garden City (EGC) หรือสวนกินได้ ก่อตั้งโดยบิยอร์น โลว์ (Bjorn Low) ในปีค.ศ.2012 เริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้กับสิงคโปร์ด้วยการปลุกกระแสการผลิตอาหารด้วยตัวเอง (Grow your own food movement) สิ่งที่ EGC ผลักดันให้เกิดขึ้นคือการสร้างแปลงปลูกผักในที่ต่างๆทั่วเมือง ทั้งบนดิน ข้างทาง สวนหลังบ้าน บนระเบียงและดาดฟ้าของอาคาร โดยเชื่อว่าการมีแปลงผักอยู่ในทุกเมือง ทุกบ้าน และมีคนปลูกผักเป็นอยู่ในทุกครอบครัวจะช่วยลดการพึ่งพาอาหารจากภายนอกได้
การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมานานทำให้ EGC มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น กลายเป็นทีมงานที่ประกอบไปด้วยกลุ่มคนมากกว่า 40 คนจากหลากหลายอาชีพ เช่น วิศวกร นักธุรกิจ นักศึกษาจบใหม่ คนวัยเกษียณ ไปจนถึงกลุ่มคนที่มีความต้องการพิเศษ ทั้งหมดมีวัตถุประสงค์ร่วมกันคือ ต้องการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความรู้และทักษะด้านการเพาะปลูก ต้องการลงมือปลูกผักและบริโภคผักที่ปลูกเอง
ปัจจุบัน EGC มีรายได้จาก 3 กิจกรรม คือ Build-Grow-Teach
- Build หมายถึง การบริการให้คำปรึกษาและออกแบบสวนผัก รวมไปถึงการสอนวิธีการดูแลสวนผักให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน และการให้คำปรึกษาเรื่องการสร้างรายได้จากผักที่เก็บได้ โดยพื้นที่เพาะปลูกหรือแปลงผักหลายรูปแบบที่สร้างขึ้นถูกเรียกว่า “Foodscaping” ซึ่งในปัจจุบัน ค.ศ.2021 มีจำนวนถึง 260 แห่ง ปรากฏอยู่ตามพื้นที่ต่างๆทั่วสิงคโปร์ ทั้งในร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงเรียน สำนักงาน ไปจนกระทั่งระเบียงและสวนในบ้านพักอาศัย
2) Grow หมายถึง การขายผลผลิต โดยเปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถซื้อ ผัก สมุนไพร ผลไม้ และดอกไม้กินได้จากสวนที่ดูแลโดยสมาชิกในกลุ่ม EGC ไปประกอบอาหาร เป็นการขายในลักษณะการส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ทั้งการส่งตรงถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และซูเปอร์มาร์เก็ต และการจัดทำเป็นกล่องที่เรียกว่า Citizen Box ส่งให้กับผู้บริโภครายย่อยทั่วไป ซึ่งผู้ซื้อสามารถสมัครสมาชิกเพื่อจะได้รับกล่องผักนี้เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ มีกล่องให้เลือก 2 ขนาด ราคา 30 และ 40 เหรียญสิงคโปร์ต่อสัปดาห์ โดยที่ในกล่องนั้นอัดแน่นไปด้วยผักสดนานาชนิด
3) Teach หมายถึง การให้การศึกษา ในรูปแบบการอบรมเชิงปฏิบัติการและหลักสูตรระยะสั้น โดยทีมงานของ EGC เป็นผู้สอนและให้คำแนะนำ นอกจากนี้ยังมีโครงการฝึกการทำสวนและปลูกพืชสำหรับคนเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มคนออทิสติก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วย เพื่อให้กลุ่มคนพิเศษเหล่านี้ได้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่
เป้าหมายในอนาคตของ EGC คือการขับเคลื่อนประเด็นความมั่นคงทางอาหารในประเทศสิงคโปร์ สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและนำเทคโนโลยีทางการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมาไกลมากจากความตั้งใจแรกเริ่มที่ต้องการเพียงใช้พื้นที่ว่างเป็นที่เพาะปลูก โดยสิ่งที่เกิดขึ้นคือการได้สร้างอาหารที่ปลอดภัยและสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภค การที่ผู้บริโภคเห็นคุณค่าของพืชผักที่เป็นคนดูแลเอง การออกแบบสวนผักที่เหมาะกับสภาพอากาศเมืองร้อนและทำให้ผักพื้นบ้านของสิงคโปร์กลับมาและถูกนำมาใช้ปรุงอาหารอีกครั้ง รวมไปถึงการสร้างทักษะการเพาะปลูกให้กับกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มคนพิเศษ และท้ายที่สุดได้ทำให้สิงคโปร์ประกาศเป้าหมายของประเทศในการผลิตอาหารได้เองเพิ่มขึ้นจาก 10 เปอร์เซ็นต์ เป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 หรือที่เรียกว่า ’30 by 30’
แหล่งอ้างอิง
Singh, Shrawan & Singh, D.R. & Murugan, A. & Jaisankar, I. & T.P., Swarnam. (2008). Coping with Climatic Uncertainties Through Improved Production Technologies in Tropical Island Conditions. 10.1016/B978–0–12–813064–3.00023–5.
https://www.teagasc.ie/rural-economy/farm-management/collaborative-farming/share-farming---crops/share-farming-a-short-guide/
https://smallbiztrends.com/2019/12/urban-farming.html
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/B9780128197745000035
https://www.ediblegardencity.com/
https://readthecloud.co/edible-garden-city-singapore/page/2/
https://www.facebook.com/EdibleGardenCityProject/
https://www.facebook.com/sharefarming/