ญี่ปุ่นตั้ง 10 วัน EP.1 โตเกียวแบบเปลี่ยนแพลน

Pichaya Punyakhetpimook
7singha
Published in
4 min readJun 16, 2017

ใน EP ที่ผ่านมา เราเล่าถึงการเตรียมตัวมาเที่ยวญี่ปุ่นไปแล้วเนอะ ใน EP นี้ จะเล่าถึงรายละเอียดทริปวันแรกกัน ว่าเราไปไหน ไปเจออะไรมาบ้าง

..


เราเริ่มทริปญี่ปุ่นแสนสนุกของเราที่ท่าอากาศยานดอนเมือง boarding กันเวลาห้าทุ่มกว่าๆ ซึ่งคนรอเช็คอินกันเยอะมาก เยอะที่สุด ตามสไตล์ของ scoot air

ทริปนี้ผมบินพร้อมเพื่อนอีกสองคน ที่จองไปกลับไฟล์ทเดียวกันแต่แยกกันเที่ยว โดยที่เพื่อนมีแพลนจะแลนด์นาริตะแล้วแยกไปโอซาก้าและกลับมาโตเกียวในวันท้ายๆ

และเนื่องจากมีข่าวเรื่อง scootair กับการ overbooked ทำให้หาทางป้องกัน และวิธีของเราคืออออ “จองอาหารบนเครื่อง” ครับโผมมม ไม่รู้ว่ามันได้ผลรึเปล่า แต่เราก็ไม่โดนเทนะ

หลังจากที่เราจัดการไก่เทอริยากิ และเนื้อผัดเห็ดที่รสชาดแย่สุดๆเรียบร้อยแล้ว ก็หลับเอาแรงสำหรับเดินเที่ยวช่วงบ่ายนี้

เครื่องยนต์ rolls royce ของ A380

เวลาผ่านไป 5 ชั่วโมง หลับๆตื่นๆไปหลายงีบ ในที่สุด เราก็ถึงนาริตะแล้วว เหลือบมองดูนาฬิกา อ้าวเพิ่งเจ็ดโมงเอง ไหนบอกถึงเก้าโมงเช้า อ๋อออออ ถึงญี่ปุ่นแล้วต้องบวกไป 2 ชั่วโมงนะครับ ไอ้เราก็นึกว่ากัปตันพาบินทางลัด

แพลนต่อไปของเราคือไปแลกตั๋วรถไฟ Skyliner เพื่อเข้าโตเกียวครับผม โดยที่ตั๋วผมซื้อกับ H.I.S ที่ไทยครับ ซื้อเป็น Skyliner ไปกลับ + Subway 72hr (1,730 บาท) เค้าก็จะออก voucher มาให้เราเอาไปแลกตอนมาถึงญี่ปุ่น

เมื่อผ่าน ตม. ออกประตู arrival มาก็เจอเลยครับ พุ่งตรงไปที่เค้าเตอร์ Skyliner และแจ้งเวลารอบรถที่จะไปได้เลย เค้าจะให้ตั๋วมาสามใบ skyliner ไปกลับ และอีกใบเป็นบัตรใต้ดิน ใช้ได้ 72 ชม. นับจากติ๊ดครั้งแรก(ไม่ต้องจับเวลาเอง มันพิมพ์ให้บนบัตร ซึ่งประเทศกูต่อแถวแลกเหรียญอยู่เลย(อุ๊ย!))

แค่ subway ก็ครอบคลุมทั่วโตเกียวแล้วครับ

หลังจากที่ได้บัตรมา เราก็ที่ชานชาลาที่อยู่ในตั๋วได้เลย ซึ่งจนท.ก็จะแถมแผนที่รถไฟใต้ดินโตเกียวและวงให้ด้วยว่า “ขึ้น JR ไม่ได้นะจ๊ะ”

ที่เห็นพันๆกันแบบนี้ เวลาใช้งานจริง รถไฟญี่ปุ่นใช้งานง่ายมาก เวลาเปลี่ยนสายก็แค่เดินตามป้ายไปหาสายที่ต้องการได้เลย ง่ายกว่ารถเมล์บ้านเราเยอะมากๆครับ

รถไฟ Skyliner เป็นรถไฟพิเศษที่ใช้เดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าโตเกียว โดยใช้เวลาประมาณ ​40 นาทีเท่านั้น และก็จะไปจอดที่ สถานี Nippori และ Ueno เท่านั้น ซึ่งสองสถานีนี้ก็เป็นสถานีสุดฮิตของนักท่องเที่ยวเพราะมันต่อไปสายอื่นได้สะดวกมาก

ภายในรถ เงียบและนั่งสบาย กว่าเครื่องบินชั้นประหยัดของเรามาก (ส่วนตัวเคยนั่ง Amtrack ซึ่งก็สบายจนหลับเหมือนกัน) นึกไปนึกมาแล้วคงมีประเทศเรานี่แหล่ะที่รถไฟยังให้ความรู้สึกรันทดชีวิตยามใช้บริการ

ทำบัตร Pasmo และเติมเงินเข้าไปก่อน

แพลนของเราวันนี้คือจะไปลงที่สถานี Ueno และตรงไปฝากการเป๋าที่ hostel(เช็คอินบ่ายสาม) จากนั่นก็ออกมาเตร็ดเตร่แถว วัด Asakusa

แต่ในความจริงแล้วเรามาถึงสถานี Ueno เวลา 11 โมงซึ่งเร็วเกินไป เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนแพลนนนน

เราจะฝากกระเป๋าและไปหาอะไรกินและเดินเที่ยวใน Ueno Park กันก่อน

หน้าร้านมีกุ้ง แต่ทำไมกูกดได้ผักล้วน อนุโมธนาสาธุด้วยจร้าา

ความเด๋อของคนหิวจัด ไปจิ้มกดมาได้เป็นเมนูโซบะสาหร่ายและข้าวเทมปุระผัดล้วนแบบไร้เนื้อสัตว์สูตรเจ้าแม่กวนอิมมมมมมมมม แต่มันหิวก็ต้องเป็นวีแกนไปหนึ่งมื้อจ้า

Uenoonshi Park

Uenoonshi Park เป็นสวนขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับสถานี Ueno ภายในจะมี ศาลเจ้า สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ และพิพิธภัณฑ์ประวิตศาสตร์ธรรมชาติ

บรรยากาศในสวนจะเป็นทางเดินร่มรื่น มีผู้คนมาเดินเล่นมากมาย บางคนมาแสดงเปิดหมวก พาหมามาเดินเล่น มาแอ๊วสาว บลาบลา

และก็จะมีน้องๆประถมตัวน้อยๆใส่หมวกเหลืองเดินต่อแถวมาทัศนศึกษาเหมือนในการ์ตูนชินจังเลย

วันนี้เป็นวันที่อากาศดีมาก แดดแรงแต่อากาศเย็น(15c’) แต่ไหนๆก็มาแล้ว เราเลยตัดสินใจเข้าพิพิธภัณฑ์เลยดีกว่า โดยวันนี้จะเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ กันก่อน และจะเข้ามาเก็บที่อื่นวันหลัง

ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ 620 เยน ภายในจะมีหลายตึกแยกกัน จัดแสดงของญี่ปุณโบราณ พวกดาบ ภาพวาด ผ้า หน้ากาก และอื่นๆ เราใช้เวลาเดินชมไปประมาณ 1 ชม. ก็ดูหมดหนึ่งตึกแล้ว แต่เบื่อของเก่าเลยตัดสินใจกลับดีกว่า

หน้าพิพิธภัณฑ์มีร้านฟู้ดทรัคอยู่สองสามเจ้า และเจ้าโซบะไร้เนื้อสัตว์ทำเราไม่ค่อยอิ่ม เลยเข้าไปซื้อขนมปลาตัวนี้มา อร่อยดีนะ

..

หลังจากกลับมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้จากล๊อกเกอร์แล้ว เราก็มุ่งหน้าไปสถานี Asakusa โดยใช้รถไฟใต้ดิน

Khaosan Tokyo Original Hostel

ที่พักเราอยู่ใกล้กับสถานี Asakusa ซึ่งเราจะใช้ที่นี่เป็นฐานสำหรับเที่ยวโตเกียวเป็นเวลา 3 วัน

โฮสเทลที่พักเป็นบ้านสามชั้น แบ่งเป็นห้องเล็กๆ ห้องน้ำรวม อยู่ติดแม่น้ำ มีดาดฟ้าสำหรับแฮ้งค์เอ้าท์ เห็นวิวแม่น้ำ เห็นเมฆทองของอาซาฮีและโตเกียวสกายทรี และที่สำคัญ เป็นห้องส่วนตัวที่ถูกที่สุดสำหรับ ในแถวนี้แล้ว ตกคืนละ 1500 บาท เท่านั้น!! จัดไป 3 คืน

วันฟ้าใส ในโซนอาซากุสะ

เช็คอิน เก็บของอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เราก็ออกมาเดินลุยย่าน Asakusa กันเลย!

ย่าน Asakusa

โซนสุดฮิตของนักท่องเที่ยวไทย ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือวัดอาซากุสะ ผมเรียกว่าเป็นวัดไทยในต่างแดน เพราะคนไทยเยอะมาก ไม่รู้ว่าวัดในไทยคนไทยจะเยอะเท่านี้รึเปล่า บริเวณวัดก็มีกิจกรรมทั่วไป ไหว้พระ ขอพร โกยควันธูปหาตัว ซื้อเครื่องราง และนั่งรถลากที่ลากโดยหนุ่มล่ำ(เพื่อ?) และเมื่อเดินไปทางตะวันออก ก็จะเจอโซนริมฝั่งแม่น้ำ สามารถมองเห็น ก้อนเมฆสีทองของตึกอาซาฮี และโตเกียวสกายทรีได้

ช่วงเย็นมีนัดกินข้าวกัน เพื่อนทำการบ้านเรื่องร้านอาหารมาแล้ว เราตามเลย เพราะไม่มีแพลน ได้กินเป็น อิชิกายะ ชุดใหญ่ แต่กินแล้วไม่อิ่ม ต้องเดินไปโดนซูชิฝั่งตรงข้ามกันต่อ

หลังจากจบมื้อเย็นแล้ว ที่ที่เราจะไปก็คือออ โตเกียวสกายทรี ที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำนั่นเอง งานนี้เดินครับ ระยะทางประมาณ 2 กิโล

ซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิว ราคาประมาณ​ 800 กว่าบาท (แพงสาส) สามารถชมวิวได้ 360 องศา ที่ความสูง 350 เมตร

ด้านล่างจะเป็นห้าง Solamachi(โซระ อาโออิ) มาร้านค้ากับร้านอาหารเยอะมาก มีลานเบียร์แก้วละสามสี่ร้อยบาทให้นั่งกินกันหนาวๆด้วย

..

สักสามทุ่มคนเริ่มซาเราก็เดินกลับโฮสเทลแล้วครับ ย่านนี้เดินกลางคืนได้สบายๆ ไม่น่ากลัวอะไร

เอาสภาพห้องราคา 1500 บาท ต่อคืนมาฝาก เป็นเตียงสองชั้นที่ยัดเข้าไปเต็มห้องพอดีชั้นบนจะหนาวระดับไซบีเรีย เพราะแอร์เป่า ส่วนข้างล่างจะร้อนเหงื่อแตกเหมือนอยู่มาเลเซีย

แต่นอนหลับสบายครับ ไม่เสียงดังตึงตังแบบโฮสเทล ผู้คนน่ารัก สาวเกาหลีโนบราไปอาบน้ำ(และต้องออกไปอาบพร้อมกุทุกครั้ง)

จบแล้วครับสำหรับวันแรก ด้านล่างนี้จะเป็นทริค หรือ อะไรที่จำได้แต่ไม่รู้จะไปยัดไว้ตรงไหนในบทความอันสวยงามด้านบน

  • นก scoot ถ้าเป็นรูทพาด SIN — DMK — NRT คนจีนจะรอเช็คอินเยอะมาาาาาก เผื่อเวลาไป +2 ชม. เซฟๆ
  • ดอนเมืองมีร้านชาตรามือแล้วด้วย อย่าแดกชาบ๊วย
  • ไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วง Golden week ของเค้า ในเมืองจะไม่แน่นมาก เรียกได้ว่าปกติเลยหล่ะ เค้าน่าจะออก ตจว กันเหมือนคนไทยกลับบ้านสงกรานต์
  • จุดแลก Skyliner มีสองที่แล้ว คือ เค้าเตอร์หน้า arrival ที่ออกมาแล้วเจอเลย(น่าจะมาเปิดใหม่) กับเดินลงบันใดซ้ายไปออฟฟิตด้านล่าง(ตามรีวิวเก่าๆ)
  • Truemove Travel Sim Asia ราคา 399 บาท เราซื้อไปสองซิม สลับกันใส่คร่อมวันกัน ไปนู่นต่อโรมมิ่งเข้าของ Docomo แรงใช้ได้เลย มีของ Ais ด้วย ไปลองหาเอาเอง
  • พิพิธภัณฑ์ถ้าไม่อินก็อย่าไปเข้า แต่ถ้าชอบลองหาบัตรเหมาดู คุ้มมาก
  • บัตร Pasmo เป็นของ Tokyo Metro บัตร Suica เป็นของ JR แต่เติมหรือใช้จ่ายข้ามกันไปมาได้ (ว้าวมากเพราะไม่มีในไทย)
  • เราสามารถใช้ google map เช็ครอบรถไฟและสายที่จะไปได้เลย รถจะมาและจะออกตรงเวลาเป๊ะๆ ตามในนั้นเลย ขึ้นขบวนตามเวลาได้เลย (ว้าวมากเพราะไม่มีในไทย)
  • ในเมืองบินโดรนไม่ได้ แค่ takeoff เล่นๆก็ไม่ควร เพราะ flight record มันบันทึก ถ้ามีปัญหาแล้วโดนค้นเจอน่าจะยาวววว
  • ในทริปนี้ใช้ gopro เป็นกล้องหลัก Olympus PEN-F บ้างถ้าเดินชิลๆ และโดรน DJI Mavic เฉพาะริมทะเลสาปกับฟูจิ รอติดตามครับ

--

--