เรียนรู้จาก The Best ในวงการ Creative: ทำยังไงให้ Content ปังในยุค Mobile-First Creative
ยุคนี้ ใครๆก็บอกว่าทุกอย่างควรเริ่มที่ Mobile-first บวกกับการมาของ format ใหม่ๆตลอดเวลา เช่น Story หรือ IG TV
วันนี้เลยอยากมาแชร์หัวข้อที่คนอ่าน request อยากให้เขียนสรุป session ให้ฟังมากที่สุดจากประสบการณ์การไปร่วมงาน F8 Facebook Developer Conference ที่ San Francisco
ในมุมคนทำ Creative Content ควรปรับตัวยังไงกับการมาของ Mobile-First Creative?
อะไรคือสิ่งที่ต้องรู้? อะไรคือ Best practice? อ่ะ 1…2…3 ปิ๊ด!
โดยก่อนจะเริ่มสรุปเป็น checklist ในการทำ creative อาจจะมีประโยชน์กว่าถ้าเริ่มจาก The best practice หน้าตาเป็นยังไง เผื่อจะได้นึกภาพออก
กฏเหล็ก 3 ข้อของ Creatives in Mobile
- Content ต้องสั้นไม่เกิน 6–10 วิ อันนี้ไม่น่าแปลกใจเท่าไร
- ทำ content เผื่อคนที่ปิดเสียง ก็คนส่วนใหญ่ไถ social บนรถไฟฟ้า หรือแอบเล่นในออฟฟิศแบบปิดเสียงยังไงหล่ะ! เพราะงั้นพยายามให้ content เล่าเรื่องได้แม้ไม่มีเสียง หรือไม่ก็ทำ subtitle
- เล่นกับ composition ใน frame ของแต่ละ platform สำคัญคือต้องเข้าใจ “ภาษา” ของแต่ละ platform ว่า คนเขาคุยกันแบบไหน content แบบไหน ratio เป็นยังไง จัดวางยังไงถึงจะ work เพราะ…ไม่มีอะไรจะน่าเบื่อไปกว่าดูวิดีโอแนวนอนบน IG Story (ซึ่งออกแบบมาสำหรับวิดีโอแนวตั้ง)
ควรรู้อะไรอีก?
ภาพนิ่ง + Video คือคู่สร้างสวรรค์ส่งมา
จาก stat เขาบอกว่าภาพนิ่งกับวิดีโอเพราะใช้คู่กัน สามารถเพิ่ม Engagement ได้อย่างไม่น่าเชื่อ อันนี้อาจจะขึ้นอยู่กับ Platform เช่น Facebook และ Instagram ต่างก็สามารถทำ Carousel ได้
หรือบางคนบอกว่าถ้าเรามีแต่รูปภาพเฉยๆ จะทำยังไงให้น่าสนใจได้บ้าง ปัจจุบันก็มี template ที่เราสามารถซื้อจากเว็บเช่น Videohive มาทำให้กลายเป็น Loop Motion ได้ไม่ยาก
Brand ต้องชัดภายใน 3 วิแรก
อย่าลืมว่า สุดท้ายถึงคนจะชอบ Content ของเรา แต่ถ้าดูจบแล้วเขาจำไม่ได้ว่านี่คือ Brand อะไร สุดท้ายก็อาจจะไม่มีประโยชน์เท่าไร ถามว่าเราจำเป็นต้องแปะ Logo อย่างเดียวเปล่า จริงๆแล้วมีหลาย way เช่นเราสามารถเล่นกับพวก Font, สี (เช่น สีแดงของ AirAsia) หรือแม้แต่ presenter/spokeperson (เช่นคุณตัน โออิชิ)
Showcase Product ให้มัน Effective
อันนี้คือถ้าเราตั้งใจจะขายของแล้ว อย่าลืมว่า Majority ของ content ก็ควรจะเกี่ยวกับ product ของเรา หลายครั้งเราไม่จำเป็นจะต้องขายของโต้งๆ เช่นถ้าเราขายเครื่องสำอาง เราสามารถทำเป็นกึ่งๆ makeup tutorial ไปเลยก็ได้ ได้ขายสรรพคุณอีกต่างหาก
Visual ต้องสะดุด (Thumb-stoping)
อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของคุณละในฐานะ creative ที่จะทำ visual ยังไงให้คนเห็นบน feed แล้วมันน่าหยุด swipe
กระตุ้น engagement ด้วยคำถาม หรือโปรโมชั่น
อันนี้ค่อนข้างชัดอยู่แล้วว่า คำถามกระตุ้นให้คน engage มากกว่า caption ที่เป็นประโยคบอกเล่าลอยๆ หรือการ highlight Promotion ที่ effective ช่วยทำให้คนสนใจ
เล่นกับ format ของแต่ละ platform
อย่างที่กล่าวไป เราต้องเข้าใจ “ภาษา” ของแต่ละ platform ด้วย และก็ลองเล่นเยอะๆ เรียนรู้จากคนอื่นเยอะๆ เขาบอกว่าให้ “Be creative with the format” เช่น ถ้าเราลง Instagram Ads แล้วโดย nature ปุ่ม CTA (Call-to-action) จะอยู่ข้างล่าง content ถ้างั้นเราทำเป็น animation ลูกศรชี้ลงล่างดีไหม ในขณะที่ Story ควรจะ ลูกศรกระดึ๊บๆขึ้นแทน เพราะ CTA เป็น swipe up เป็นต้น
สุดท้ายเขาจบด้วยการโฆษณา tool ต่างๆจาก Facebook และฝากให้กรุณามาใช้บริการ Facebook Marketing Partner เพื่อผลลัพท์ที่ดีที่สุดนะจ๊ะ (เพราะคุณ Speaker ซึ่งคือ Seth Whitehead และ Carlos Murad-ia แกทำ Digital Agency ที่เป็น Facebook Marketing Partner นั่นเอง)
หวังว่าสรุปอันนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ ส่วนใครที่อยากดูวิดีโอย้อนหลังความยาวประมาณครึ่งชั่วโมงก็จัดเลยครับ
Session อื่นๆที่เราเข้าไปฟังในงาน F8
นอกจาก keynote แล้วเราได้มีโอกาสเข้า session อยู่หลายอันดังนี้
- Creativity Rules — Mobile First Creative
- Introduction to Machine Learning for Developers
- Mobile Innovation with React Native, ComponentKit, and Litho
- Spark AR Creators Roundtable
- AR Music
- Pro Tips for Creating in Spark AR Studio
- Developing and Scaling AI Experiences at Facebook with PyTorch
- Spark AR for Places and Spaces
- Spark AR for Shopping
- How to Build for People to Help Your Product Grow
- Data for Good: Facebook Disaster Maps
ใครสนใจอยากให้สรุปอันไหนอย่าลืมพิมพ์ comment ไว้ได้เลย จะมาสรุปให้ 👇