Avareume Crypto Market Digest Part#4: Wrap Up Crypto Market Digest

Global Macro Part

Panuwat Ulis
3 min readSep 17, 2023

จากสถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันที่ประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ (CPI YoY) ออกไปแล้ว ตัวเลขนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร โดยมีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากค่าที่ Forecast ที่ 3.6% ขึ้นมาเป็น 3.7% ส่วนตัว Core CPI YoY นั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่แล้วยังคงที่ที่ 4.3% ถ้าเราเจาะลงไปดูตัวเลขในส่วนของภาคการบริการนั้นถือว่าเป็นตัวสำคัญ เนื่องจากไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมายังคงตัวเลขที่ 0.4%

ซึ่งทาง FED มองว่ายังไงก็จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (FED Fund Rate) อีกครั้งอย่างแน่นอน โดยที่ในเดือนกันยายนมที่เหลืออีกแค่ 7 วัน ( ณ วันที่ 13 กันยายน 2023 ที่มีการประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ) มีโอกาสเพียงแค่ 2% เท่านั้นที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายน

FED Watcher ใช้ดูผล Poll ดูความเป็นไปได้ที่ FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ในรอบวันที่ 20 กันยายน 2023

โดยถ้าเป็นไปตามแผนคือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยรอบสุดท้ายซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสุดท้ายขึ้นไปแตะที่ 5.50–5.75% หลังจากนั้นจะเป็นการคงอัตราเงินเฟ้อเพื่อให้ลดลงมาเข้าเป้า (Inflation Target) ที่ 2% ซึ่งเราต้องมาคอยติดตามผลที่จะตามมาต่อจากนี้ว่าจะส่งผลให้คงต้องง่ายเพิ่มขึ้นขนาดไหน (Unemployment Rate) ซึ่งในอดีตมีตัวเลขที่มากกว่า 5% และหลังจากนี้ต้องคอยติดตาม Invert Yield Curve ที่เป็น Leading Indicator จะกลับมาเป็นบวกเมื่อไร เนื่องจากเมื่อ Invert Yield Curve กลับมาเป็นบวกจะตามมาด้วย “Recession” ซึ่งถ้าไม่มีการ Call Recession ก็จะถือว่าเป็น “Soft Landing” เศรษฐกิจก็น่าจะกลับมาได้เร็วกว่าที่คาด

ถ้าสภาวะเศรษฐกิจใน Real Sector กลับมาได้ไว ก็จะส่งผลดีกับตลาดทุนที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น และตลาดคริปโตด้วยเช่นกัน คนจะกล้าลงทุนมากขึ้น โดยมุมมองส่วนตัวมองว่าในจุดที่จะทำให้ตลาดคริปโตมีมูลค่าตลาดทำ All Time High ได้นั้น ต้องอาศัยเม็ดเงินปริมาณมาก ซึ่ง ณ ตอนนี้ทาง FED ทำ Quantitative Tightening (QT) ดึงสภาพคล่องออกจากตลาด ทำให้เม็ดเงินที่วนอยู่ในตลาดค่อนข้างน้อย ซึ่งการที่จะเปลี่ยน Policy ตรงนี้ก็ต่อเมื่อสภาวะเศรษฐกิจกลับมาในจุดที่จะต้องกระตุ้นอีกครั้ง คือการเปลี่ยนจาก Contraction → Expansion Policy ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย และรวมไปถึงการทำ Quantitative Easing (QE) ซึ่งการทำ QE จะเป็นส่วนที่จะเพิ่มเม็ดเงินเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น นั้นคือสิ่งที่เราหวังเช่นกันในการมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดคริปโตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวมีความคาดหวังว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 เราจะได้เห็นสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น

Crypto Part

เปิดหัวเรื่องมาด้วยภาพคลาสิคเกี่ยวกับ Market Cycle ถ้าถามว่าตอนนี้เราอยู่ส่วนไหนของ Cycle ดังกล่าว ส่วนตัวมองว่าเราอยู่ในจุดระหว่าง Anger กับ Depression ส่วนตัวเชื่อว่าเราได้ผ่านจุดต่ำสุดของตลาดมาแล้วในช่วงปี 2022 ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Terra Luna Crash ในช่วงเดือนพฤษภาคม จนเกิดเป็น Domino Effect ไปกระทบกับ Crypto Hedge Fund อย่าง Three Arrow Capital (3AC) รวมถึงกลุ่ม CeFi ที่ประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว นำไปสู่การยื่นล้มละลาย และเหตุการณ์ “Too Big to Fail” อย่างเหตุการณ์ของ FTX Exchange จนทำให้มูลค่ารวมของตลาดคริปโตลดลงไปอยู่ที่ $735B โดยราคาสินทรัพย์ดิจิทัลหลักอย่าง Bitcoin และ Ethereum มีการปรับตัวของราคาลดลงไปอยู่ที่ $15,476 และ $885 ตามลำดับ ที่ยังมองว่าเรายังไม่เข้าสู่ Depression หรืออยู่ในช่วงระหว่าง Depression และ Disbelief เนื่องจากดูจาก Sentiment จากกลุ่มบุคลล Crypto ที่อยู่ในโลกของ Twitter นั้นยังไม่ได้มีความกลัวกับตลาดมากนัก และมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นหลังจากมีข่าวในเรื่องการยื่นขอเปิด Bitcoin ETF แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีปัจจัยบางอย่างในตลาดที่ยังมีความเสี่ยงและอาจจะ Surprise เราได้เหมือนกัน

Psychology of A Market Cycle

ปัจจัยความกังวล ณ ปัจจุบันจะเป็นเรื่อง Binance Exchange ที่มีการปลดพนักงานออกมากกว่า 1,000 คนในและมีผู้บริหารระดับ C-Level ลาออกในช่วงเดือนกรกฏาคม ทำให้หลายๆคนตั้งคำถามว่า ทาง Binance นั้นมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการเงินหรือไม่? ซึ่งในวันที่ 13 กันยายน ก็ได้มีการลาออกของ CEO ของ Binance US, Brian Shroder และทาง Binance US ได้มีการลดจำนวนพนักงานลง 1 ใน 3 ของบริษัท (33%) โดยมีการปลดคนมากกว่า 100 ตำแหน่งด้วยกัน ซึ่งสิ่งที่เราต้องคอยติดตามถ้า Binance Exchange มีปัญหาจริงๆ คงเป็นในส่วนของ USD Inflow/Outflow ของ Binance Exchange ถ้ามีปริมาณเงินที่ไหลออกแตะระดับ $1B อันนี้ถือว่าเป็น First Alert ที่เราจะต้องมาดูว่ามีการโอนออกอย่างต่อเนื่องในหลายๆวันติดต่อกันหรือไม่? (Consecutive Outflow) แต่ถ้าปริมาณเงินไหลออกแตะ $2B อันนี้ โอนออกก่อนเพื่อความปลอดภัย ค่อยหาเหตุผลทีหลัง

Binance Exchange Net Flow (USD)

นอกเหนือจากข่าวทางฝั่ง Binance แล้ว ในวันที่ 13 กันยายน ศาลได้สั่งให้มีการบังคับขายสินทรัพย์ (liquidation) ของทาง FTX มูลค่าทั้งสิ้น $3.4B ซึ่งประกอบไปด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลใหญ่ๆ 3 ตัวคือ Solana มูลค่า $1.16B, Bitcoin มูลค่า $560M และ Ethereum มูลค่า $192M โดยจำกัดปริมาณในการขายในแต่ละสัปดาห์อยู่ที่ $100M และสามารถเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ $200M โดยขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับเจ้าหนี้ (Creditors) ของ FTX

ส่วนปัจจัยบวกของตลาดคริปโต อย่างที่เราทราบกันดีก็คือเรื่องของ Bitcoin ETF ที่มีการยื่นเรื่องตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2023 จาก Blackrock และตามมาด้วยหลายๆเจ้าเพื่อให้ SEC ทำการพิจารณา ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาทาง SEC ก็ได้ทำการเลื่อนการพิจารณาในครั้งแรกออกไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายซักเท่าไร เนื่องจาก SEC สามารถที่จะเลื่อนการพิจารณาออกไปได้ถึงเดือนมีนาคม 2024 และนอกจาก Bitcoin ETF ก็ยังมีการยื่นเรื่องในส่วนของ Ethereum ETF ของทางฝั่ง Ark Investment กับ 21Shares ในวันที่ 8 กันยายน เพื่อให้ทาง SEC ทำการพิจารณาเช่นกัน ส่วนตัวมองว่าการอนุมัติให้มีการเปิดทั้ง Bitcoin ETF และ Ethereum ETF เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่โอกาสที่จะอนุมัติภายในปี 2023 มีโอกาสเป็นไปได้น้อย เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจและสภาวะตลาดคริปโต ณ ปัจจุบันนั้นยังไม่ได้กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีมากนัก

การอัพเกรดของ Ethereum ในส่วนของ EIP-4844 (Proto-Dankshard) คาดว่าจะเกิดในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 นั้น จะเป็นการเตรียมโครงสร้างเพื่อทำให้การอัพเกรด Sharding เป็นไปได้เร็วมากขึ้น ซึ่งตัว EIP-4844 นี้ไม่ได้มาเพื่อลด Ethereum Mainnet Gas Fee แต่จะส่งผลทำให้ต้นทุนของการทำธุรกรรมบน Layer 2 ที่เป็น Scaling Solution ของ Ethereum Layer 1 นั้นถูกลง ส่วนตัวมองว่าจะช่วยเรื่อง Mass Adoption ได้ระดับหนึ่งในเรื่องต้นทุนของการทำธุรกรรม

จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นไม่ว่าจะเป็นภาพของสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังไม่ได้ดีมากนักและในส่วนของตลาดคริปโตที่สภาพคล่องก็ยังไม่กลับมาจากข้อมูลในส่วนของ On-Chain Data ที่จะเห็นเงินที่กักเก็บในโลกของ DeFi (TVL) และมูลค่าของ Stable ก็ยังอยู่ในขาลงอยู่ ส่วนตัวมองว่าโอกาสที่มูลค่าของตลาดคริปโตจะกลับมาทำ New High ในปีนี้มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก แต่ถ้าปี 2024 จะมีโอกาสมากกว่าทั้งเรื่องสภาวะเศรษฐกิจที่มีการคาดการณ์ว่าจะดีในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 และเรื่องของ BTC ETF ที่มีวาระในการพิจารณาที่มี Dead Line ในเดือนมีนาคม 2024, Bitcoin Halving ที่จะเกิดขึ้นในอีก 213 วัน (ประมาณเดือนมิถุนายน)

Bitcoin Halving Clock

ในส่วนของ Narrative ของปี 2024 นั้นอยู่นอก Scope ของ Avareum Crypto Market Digest เนื่องจากผู้เขียนมองว่าอยากให้ผู้อ่านได้เห็นมาภาพรวมกว้างๆ มากกว่าจะลงไปเจาะลึกว่า Narrative ไหนน่าจะมาในช่วงปี 2024 แต่ถ้าผู้อ่านได้เห็นใน Part 2 Crypto Market Overview ได้มีการกล่าวถึง Activity ต่างๆที่มีการเพิ่มขึ้นในฝั่งของ Ethereum ไม่ว่าจะเป็น

  • Ethereum Staking Rate ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจาก 14%-15% ขึ้นมาแตะที่ 22%
  • ปริมาณ Validator Nodes ที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจาก Shanghai Upgrade
  • มี DeFi Protocol กลุ่มใหม่ๆเกิดขึ้นเพื่อมา Support การ Staking Ethereum อย่าง LSD และมี Money Lego ใหม่เกิดขึ้นเพื่อมาช่วยเสริม LSD อย่าง LSDFi
  • ปริมาณ Layer 2 Activity ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและในปัจจุบันมีปริมาณมากกว่า Layer 1 ถึง 5 เท่า และการมาของ EIP-4844 ที่จะมาช่วยทำให้ต้นทุนในเรื่องของธุรกรรมบน Layer 2 นั้นถูกขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าจะมาช่วยเร่ง Adoption บน Layer 2 ให้มากขึ้นไปอีก

ปัจจัยต่างๆเหล่านี้กลุ่มของ Alternative Layer 1 ไม่ว่าจะเป็นตัวเก่าอย่าง Solana, Avalanche, Near หรือแม้แต่ตัวใหม่อย่าง Aptos และ Sui คงต้องหนทางที่จะเป็นจุดเด่นนอกเหนือแข่งขันกันในมุม “Cheap Transaction Cost” โดยอาจจะ Focus ไปในด้าน GameFi, Metaverse เป็นต้น

ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นทำให้ผมมองว่า Narrative หนึ่งที่จะมาในปี 2024 จะมีการแข่งขันในส่วนของ Layer 2 Scaling Solution ที่มากขึ้น จากในช่วย 2021 เป็น DeFi Summer ในปี 2024 อาจจะเป็นปีของ Layer 2 Summer และ Protocol ต่างๆที่เข้ามา Support Ethereum ไม่ว่าจะเป็น LSD, LSDFi, Eigen Layer (Restaking) และอื่นๆ

--

--