มาๆ ผมจะเล่าให้ฟังว่า 1 เดือนที่บวชได้อะไรบ้าง ( part 2)

Uoo Worapon
1 min readFeb 3, 2018

--

สงสัยไหมว่าปฏิบัติธรรมแล้วได้อะไรบ้าง คือการนั่งสมาธิใช่ไหม

ผมเองก่อนที่จะบวชนั้นก็พอจะมีความเข้าใจและสนใจการปฏิบัติธรรมอยู่บ้าง ซึ่งโดยส่วนมากจะได้รับความรู้จากการอ่านหนังสือหรือจากหาอ่านตาม internet แต่ได้ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองจริงๆน้อยมาก เพราะยังไม่สามารถเข้าใจวิธีปฏิบัติจริงๆและการสอนของแต่ละครูบาอาจารย์นั้นมีหลายแบบเหลือเกิน ทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องทำตามแบบไหนดี หรือแบบไหนกันแน่คือแนวทางที่ถูก ผมจึงคิดว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าการปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่ดีแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันดีอย่างไร แค่การนั่งหลับตาจะทำให้สามารถเห็นธรรมได้อย่างไร แล้วแก่นของการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้นมีอะไรบ้าง

“นั่งสมาธิแล้วได้อะไรนอกจากทำให้สมาธิดีขึ้น จะไปได้บุญหรือสำเร็จธรรมได้อย่างไร เพราะแค่นั่งหลับตาอยู่เฉยๆ”

— — ในสมัยพุทธกาลเคยมีคนถามคำถามนี้กับพระพุทธเจ้า — —พระพุทธเจ้า: เธอเห็นเค้าลากกิ่งไม้นั้นไปเผาไหม
สาวก: เห็นครับ
พระพุทธเจ้า: เธอรู้สึกเจ็บปวดเพราะถูกลากไหม
สาวก: ไม่รู้สึก
พระพุทธเจ้า: ทำไมไม่รู้สึกล่ะ
สาวก: ก็นั่นมันกิ่งไม้ มันไม่ใช่เรา
พระพุทธเจ้า: นั่นแหละ ถูกต้องแล้ว ทำอย่างไรจะเห็นสิ่งต่างๆเป็นอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรา เราเป็นเพียงผู้สังเกตเท่านั้น เมื่อใดที่เราเห็นว่าสิ่งต่างๆคือ ร่างกายก็ดี อารมณ์สุข-ทุกข์ก็ดี ความยินดียินร้าย อิจฉาริษา ความโกรธก็ดี มันไม่ใช่เรามันเป็นของชั่วคราวเป็นเพียงของไม่เที่ยงที่มีเกิดแล้วมีดับเป็นธรรมดา เราก็จะไม่ทุกข์ไปกับมัน ไม่ไปยึดกับมัน เมื่อเราเห็นสิ่งนั้นเราก็จะเห็นความเป็นจริงที่เรียกว่า “สัจธรรม”

ผมอยากให้ผู้อ่านทุกคนเข้าใจก่อนว่า แก่นพุทธศาสนานั้นสอนแค่เรื่องเดียวคือเรื่องของจิต ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจธรรมชาติของจิตและการฝึกพัฒนาจิตของเราที่เรียกว่าการเจริญสติครับ จากที่ชาวพุทธทุกคนคุ้นเคยว่าศาสนาพุทธนั้น คือการตักบาตร ทำบุญ ทำทาน สร้างวัด สร้างโบสถ์ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ดีครับแต่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นแก่นของศาสนาเลย เป็นเพียงส่วนที่ช่วยขัดเกลาจิตใจในเบื้องต้นเท่านั้น ผมจึงปรารถนาเป็นอย่างยิ่งให้ผู้อ่านได้ที่ยังไม่รู้ว่าหรือไม่แน่ใจว่าแก่นของพุทธศาสนาจริงๆแล้วต้องทำยังไร ฝึกยังไงบ้าง เพราะตอนเรียนก็ท่องว่าทางหลุดพ้นคือ อริยสัจ4 มี ทุกข์ สมุทัย นิโรจน์ มรรค แต่ไม่รู้ว่าจะเอามาปฏิบัติอย่างไร จะช่วยเราใช้ชีวิตได้อย่างไร หรือยังคิดอยู่ว่าเดี๋ยวจะไปกราบเจ้าแม่เจ้าพ่อหรือบรรดาทวยเทพให้ดลบัลดาลพรให้ หรือยังอยากไปแสวงบุญในวัดที่เค้าว่าดังว่าศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากใครที่ยังลังเลใจในสิ่งเหล่านี้อยากให้ลองทำความเข้าใจใหม่ดูนะครับว่าสิ่งเหล่านั้นใช่ศาสนาพุทธจริงๆหรือไม่

*ศาสนาพุทธไม่ได้ปฏิเสธว่ามีหรือไม่มี เทพ เทวดา ผีสางนางไม้ แต่สอนให้พึ่งตนเอง พัฒนาตนเองเป็นสำคัญ และมองเขาเหล่านั้นเป็นเพื่อนร่วมวัฏสงสารเช่นเดียวกับเรา ไม่ใช่คอยอ้อนวรต่อสิ่งเหล่านั้นให้ดลบันดาลสิ่งต่างๆให้

**ในสมัยก่อนพุทธกาลนั้นมีศาสนาพราหมณ์ที่เกิดขึ้นก่อน ซึ่งมีความเชื่อในเรื่องของการอ้อนวอนต่อทวยเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องใช้ความเชื่อเป็นอย่างมากในการนับถือศาสนา มีการแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างเข้มงวด หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วทรงเห็นว่าศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่แทบจะตรงข้ามกับศาสนาพุทธ

***แต่หากการกระทำต่างๆนั้นทำเพื่อเป็นไปตามประเพณี หรือทำเพื่อแสดงความเคารพในความคิดของผม ไม่ใช่สิ่งที่ผิดครับ ยกตัวอย่างการรดน้ำดำหัววันสงกรานต์ หรือการฉลองปีใหม่ ก็เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมา ซึ่งเราทุกคนก็ไม่ได้คิดว่าทำเพื่ออ้อนวอนต่อใครเพียงแต่เป็นประเพณีที่มีเพื่อแสดงความเคารพหรือมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่าง

ไม่ว่าคนไทย จีน ฝรั่ง คนพุทธ คริสต์ อิสลาม คนขาวหรือดำเมื่อจับของร้อนแล้วก็รู้สึกร้อนกันทั้งนั้น เช่นเดียวกัน จิตของทุกคนก็มีธรรมชาติที่เหมือนกันไม่ว่าใครก็ชอบความสุขไม่ชอบทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ศาสนาพุทธไม่ได้สอนสิ่งที่งมงายหรือการอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่สอนให้ฝึกจิตของเราให้ละสิ่งที่ควรละ โดยมีวิธีการสอนอย่างละเอียดเป็นลำดับขั้น

ขอสรุปใน part2 นี้นะครับว่าหลักของการปฏิบัติธรรมนั่นเป็นเรื่องของการฝึกจิตครับ ซึ่งผมจะอธิบายว่าจิตนั้นคืออะไรและจะสามารถฝึกมันได้อย่างไรใน part ต่อไปนะครับ

บทความอื่นๆ

มาๆ ผมจะเล่าให้ฟังว่า 1 เดือนที่บวชได้อะไรบ้าง ( part 1)

มาๆ ผมจะเล่าให้ฟังว่า 1 เดือนที่บวชได้อะไรบ้าง ( part 2 )

มาๆ ผมจะเล่าให้ฟังว่า 1 เดือนที่บวชได้อะไรบ้าง ( part 3)

มาๆ ผมจะเล่าให้ฟังว่า 1 เดือนที่บวชได้อะไรบ้าง ( part 4)

--

--

Uoo Worapon

Programmer ขี้ลืม จนต้องจดบันทึกไว้ใน Medium