System Thinking การคิดเชิงระบบ

RuufimoN
odds.team
Published in
2 min readSep 1, 2024
System Thinking

Discipline สุดท้ายจากหนังสือ The Fifth Discipline คือการคิดเชิงระบบนั้นเปรียบเสมือนวาทยกรผู้ยิ่งใหญ่ของวงออเคสตรา — มันนำทุกศาสตร์อื่น ๆ มารวมกันดังนั้น การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) จึงเป็นอัญมณีแห่งมงกุฎ! การคิดเชิงระบบรวมอีกสี่ศาสตร์ที่ประกอบไปด้วย ความเชี่ยวชาญ(Personal Mastery), แบบจำลองทางความคิด (Mental Models), การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Building Shared Vision), การเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning) เข้าด้วยกัน

อย่างไรก็ตามการคิดเชิงระบบจะทำได้ยากมากถ้าทั้งองค์กรไม่มีเครื่องมือที่เป็นกลางสำหรับการสื่อสารระหว่างกัน โดยหนึ่งในเครื่องมือที่เป็นที่นิยมสำหรับการใช้เป็นเครืองมือในการสื่อสารเรื่องการคิดเชิงระบบคือ แผนภาพวงจรเชิงสาเหตุ (Causal Loop Diagrams) แฟนภาพนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคิดเชิงระบบด้วยเหตุผลหลายประการเช่น:

  1. แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์: แผนภาพนี้ช่วยให้เราเห็นภาพความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ภายในระบบ ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงในส่วนหนึ่งของระบบจะส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ อย่างไร
  2. กระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ภาพนิ่ง: แทนที่จะถ่ายภาพสถานการณ์แบบคงที่ การคิดเชิงระบบชวนให้เราสังเกตกระบวนการ — การไหลเวียนของเหตุการณ์ในช่วงเวลาหนึ่ง มันเหมือนกับการดูแม่น้ำ — การเคลื่อนที่ของน้ำ วังน้ำวน และกระแสน้ำ ด้วยการเข้าใจกระบวนการเหล่านี้ เราสามารถแทรกแซงได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
  3. มองภาพรวมและการทำงานร่วมกัน: ลองนึกภาพเครื่องยนต์รถยนต์ การคิดเชิงระบบไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะหัวเทียน ปั๊มน้ำมัน หรือท่อไอเสียเป็นรายบุคคล แต่มันพิจารณาว่าชิ้นส่วนทั้งหมดเหล่านี้ทำงานร่วมกันอย่างไร — วงจรป้อนกลับ ความล่าช้า และการโต้ตอบ มันเกี่ยวกับเครื่องยนต์ทั้งหมดที่ทำงานอย่างกลมกลืน
  4. การแก้ปัญหาแบบองค์รวม: เมื่อเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน การคิดเชิงระบบช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการมองปัญหาแบบแคบ แทนที่จะแยกปัญหาออกเป็นส่วน ๆ เราซูมออกเพื่อดูระบบนิเวศทั้งหมด มันเหมือนกับการแก้ปริศนา — คุณไม่ได้จ้องมองเพียงชิ้นเดียว คุณจินตนาการถึงภาพที่สมบูรณ์
  5. การเปิดเผยแบบจำลองทางความคิด: การคิดเชิงระบบยังเกี่ยวข้องกับการตั้งคำถามถึงแบบจำลองทางความคิด (mental model) — สมมติฐานและความเชื่อที่กำหนดความเข้าใจของเรา ด้วยการทำเช่นนั้น เราจะมีโอกาสได้เปิดตัวเองสู่มุมมองใหม่ ๆ และหลีกเลี่ยงการติดอยู่ในกรอบความคิดที่ไม่ยืดหยุ่น

นี่คือตัวอย่างแผนภาพวงจรเชิงสาเหตุ (Causal Loop Diagrams) บางตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพลวัตของระบบและความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกัน:

1. วงจรเสริมแรงเชิงบวก (Positive Reinforcing Loop): เช่นการลงทุนและผลตอบแทน

คำอธิบาย: เมื่อคุณลงทุนเงิน ผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นจะเพิ่มเงินลงทุนเริ่มต้นของคุณ ซึ่งคุณสามารถนำไปลงทุนต่อได้อีก ทำให้เงินลงทุนของคุณเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตราบเท่าที่การลงทุนยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี

2. วงจรปรับสมดุลเชิงลบ (Negative Balancing Loop):

คำอธิบาย: ในตัวอย่างนี้ อุณหภูมิห้องที่สูงขึ้นทำให้เทอร์โมสตัทเปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิห้องลดลง เมื่ออุณหภูมิถึงระดับที่ต้องการ เทอร์โมสตัทจะปิดเครื่องปรับอากาศ วงจรนี้ช่วยรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่ต้องการ

สัญลักษณ์สำคัญในแผนภาพวงจรเชิงสาเหตุ:

  • ลูกศร: แสดงทิศทางของอิทธิพลหรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
  • เครื่องหมายบวก (+): หมายถึงความสัมพันธ์เชิงบวก ตัวแปรหนึ่งเพิ่มขึ้น อีกตัวแปรหนึ่งก็เพิ่มขึ้นด้วย
  • เครื่องหมายลบ (-): หมายถึงความสัมพันธ์เชิงลบ ตัวแปรหนึ่งเพิ่มขึ้น อีกตัวแปรหนึ่งลดลง
  • ตัวอักษร “R” หรือ “B” ในวงกลม: ระบุว่าเป็นวงจรเสริมแรง (Reinforcing) หรือวงจรปรับสมดุล (Balancing) ตามลำดับ

ตัวอย่างการโมเดลปัญหาการจราจรติดขัดในเมืองใหญ่

คำอธิบาย:

  • วงจรเสริมแรงเชิงบวก (R1): จำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นบนท้องถนนทำให้การจราจรติดขัดมากขึ้น ซึ่งทำให้ผู้คนหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าจากระบบขนส่งสาธารณะที่แออัด ทำให้จำนวนรถยนต์บนท้องถนนเพิ่มขึ้นอีก เป็นวงจรที่เสริมแรงตัวเองและทำให้การจราจรติดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ
  • วงจรปรับสมดุลเชิงลบ (B1): การจราจรติดขัดอาจทำให้ผู้คนบางส่วนเปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนและบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดได้บ้าง อย่างไรก็ตาม วงจรนี้มักจะไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานวงจรเสริมแรงเชิงบวก
  • วงจรเสริมแรงเชิงบวก (R2): การจราจรติดขัดทำให้เกิดความล่าช้าในการเดินทาง ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงและเกิดความเครียด ความเครียดอาจกระตุ้นให้ผู้คนต้องการความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัวในการเดินทาง ทำให้พวกเขาเลือกใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มการจราจรติดขัดอีก
  • วงจรปรับสมดุลเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น (B2): การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างถนนหรือระบบขนส่งสาธารณะ อาจช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดได้ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของวงจรนี้อาจใช้เวลาในการแสดงผล และอาจถูกบั่นทอนโดยวงจรเสริมแรงเชิงบวก หากจำนวนรถยนต์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

บทเรียนจากแผนภาพ:

  • ปัญหาการจราจรติดขัดเป็นปัญหาที่ซับซ้อน เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของปัจจัยหลายอย่าง
  • การแก้ปัญหาต้องใช้วิธีการแบบองค์รวม ไม่ใช่แค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด
  • การทำความเข้าใจวงจรป้อนกลับช่วยให้เรามองเห็นว่าการแทรกแซงบางอย่างอาจส่งผลกระทบที่ไม่คาดคิดได้
  • การสร้างแบบจำลองด้วยแผนภาพวงจรเชิงสาเหตุช่วยให้เราสำรวจสถานการณ์จำลองต่างๆ และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการแทรกแซงต่างๆ

ดังนั้นจากหนังสือ The Fifth Discipline การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) ถือเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญที่สุด มันทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงศาสตร์อื่นๆ ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ภายในระบบ เพื่อมองเห็นภาพรวมและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะมุ่งเน้นที่การแก้ปัญหาเฉพาะจุด การคิดเชิงระบบส่งเสริมให้เรามองเห็นรูปแบบและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในวงกว้าง ช่วยให้เราสามารถตัดสินใจและวางแผนได้อย่างรอบคอบมากขึ้น

โดยสรุป การคิดเชิงระบบเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) ซึ่งสามารถปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงในโลกที่ซับซ้อน

--

--

RuufimoN
odds.team

ชายวัยกลางคน มีเมียหนึ่งคน ลูกสาวสองคน นกสี่ตัว