Wardley Map

Chonlasith Jucksriporn
odds.team
Published in
3 min readSep 19, 2024

วันก่อน Kan Ouivirach เอาเครื่องมือใหม่มาแนะนำ ชื่อว่า Wardley Map (ออกเสียงว่า วอร์ดลี่ย์ แมป) ลองไปหารายละเอียดเพิ่มเติมก็เจอว่า เออ น่าสนใจดี มาลองดูกันว่ามันคืออะไร เอาไว้ทำอะไร

Disclaimer: รายละเอียดต่อไปนี้ เกิดจากการรวบรวม แปล และเรียบเรียงตามความเข้าใจ

Wardley Map

Wardley Map ถูกคิดค้นโดย swardley (Simon Wardley) โดย Wardley Map หลัก ๆ แล้วมันคือ visualization ที่สามารถเล่าเรื่องสถานการณ์ของ value stream ได้ รวมถึงถูกนำมาใช้ในการทำ strategy ขององค์กรได้ ในเว็บ Learn Wardley Mapping อธิบายถึงการนำ Wardley Map มาใช้ โดยเปรียบเทียบจากพิชัยสงครามซุนวู (หรือพิชัยสงครามซุนจื่อ — Sun Tzu : The Art of War) ที่พูดถึงปัจจัย 5 ประการที่จะทำให้มีชัยในสงคราม คือ

  • The Moral Law หรือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพ กลุ่มสัมพันธมิตร รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่จะทำให้เก่งกล้า และปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน
  • Heaven หรือ สิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมที่อาจจะส่งผลกระทบกับแผน เราได้คำนึงถึงแผนสำรองอื่น ๆ ในกรณีที่เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือไม่ กองทัพไหนที่สามารถตอบสนองต่อโอกาสได้เร็วที่สุด คล่องตัวที่สุด
  • Earth หรือ สิ่งที่มองเห็นได้ และส่งผลต่อแผน เช่น สภาพแวดล้อม โครงสร้างต่าง ๆ เรารู้จักและเข้าใจกับสิ่งต่าง ๆ พวกนี้ขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในทีม ยุทโธปกรณ์ที่ใช้ รวมถึงสภาพพื้นผิวในสนามรบ
  • Command หรือ ความเข้มแข็งของลำดับบังคับบัญชา ผู้นำและทหารในกองทัพทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นตามกลยุทธ์และยุทธวิธีที่วางแผนไว้โดยมีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจน
  • Doctrine หรือ ความสอดคล้องกับรูปแบบและแบบแผนที่มีการวางไว้อย่างดีแล้ว กองทัพได้รับการฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอ และเข้มแข็ง

โดยจะเรียกเป็น Purpose, Landscape, Climate, Doctrine และ Leadership ซึ่งจะสอดคล้องกับทั้ง 5 ปัจจัยตามนี้

  • Purpose จะเป็นตัวบอกถึงว่า เราจะทำสิ่งนี้ไปทำไม ทำเพื่ออะไร อะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เรามาทำงานทุกวัน — The Moral Law
  • Landscape จะเป็นตัวบอกถึงสภาพและลักษณะของธุรกิจ แต่แทนที่จะเป็นสภาพภูมิประเทศ ก็จะถูกแทนด้วย map (ในที่นี้คือ Wardley Mapping) ตำแหน่งกองทหารในแผนที่ ก็จะเป็น value chain แทน เป้าหมายที่จะเคลื่อนที่ไปหา ก็จะเปลี่ยนเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าแทน — Earth
  • Climate จะหมายถึงปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ ในที่นี้ก็จะหมายถึง กติกาในตลาด ลักษณะของตลาดตามฤดูกาล การกระทำของคู่แข่งทางธุรกิจ — Heaven
  • Doctrine จะเป็นเรื่องการฝึกฝนคนของเราในรูปแบบมาตรฐานและใช้วิธีการที่เราควรจะใช้ — Doctrine
  • Leadership จะเป็นเรื่องการวางกลยุทธ์และการตัดสินใจว่าเกิดเหตุการณ์ไหนควรทำอย่างไร — Command

หลาย ๆ ครั้งเราจะละเลยปัจจัยอื่น ๆ และสนใจแค่ 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ Purpose และ Leadership เราจะเรียกสถานการณ์นี้ว่า “Strategy by gut feel” หรือ “กลยุทธ์ที่เกิดจากลางสังหรณ์” และเรากำลังเสี่ยงดวงกับโชคชะตามากเกินไป อันนี้ต้องระวัง

อีกอันที่น่าพูดถึงคือ ในเรื่องของ Purpose สิ่งที่มักจะถูกพูดถึงคือ Why of purpose หรือเราทำสิ่งนี้ไปทำไม เราอาจจะได้ยินบ่อย ๆ กับคำพูดว่า Start with Why แต่หลาย ๆ ครั้งที่เราตัดสินใจที่จะทำอะไร เรากลับละเลยถึง Why อีกตัวหนึ่งไปคือ Why of movement หรือ ทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนี้ ซึ่งตัวที่จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจส่วนนี้คือ Landscape, Climate, Doctrine และ Leadership

รูปภาพจาก https://medium.com/wardleymaps/on-being-lost-2ef5f05eb1ec

การสร้าง Wardley Map

เริ่มจาก เราต้องเข้าใจก่อนว่า Wardley Map เป็นการ visualize เพื่อทำให้เกิดการ share understanding เพื่อจะได้เห็นภาพตรงกัน ดังนั้น การสร้าง Wardley Map ในครั้งแรก map ที่ได้อาจจะดูแปลก ๆ ก็ไม่เป็นไร ตัว map เองเป็นเพียง output จากการ visualize สิ่งที่สำคัญคือ ตอนที่เราเอามาคุยร่วมกัน ทุกคนเห็นอะไร ควรปรับแก้ตรงไหน เพื่อให้มันถูก outcome ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ

เราเริ่มจาก

  1. ระบุ Users ที่เราต้องการแก้ปัญหา
  2. ระบุ Needs ที่ Users ต้องการ
  3. ระบุ Capabilities ที่ต้องใช้เพื่อทำให้เกิด Needs ที่ Users ต้องการ
  4. กำหนด stage ของ Evolution ของแต่ละ capability โดยพิจารณาจากลักษณะของ capability นั้น ๆ (ถ้าระบุไม่ถูก ลองแตก capability นั้นออกเป็น capability ที่เล็กลงหลาย ๆ อันแล้วพิจารณาใหม่)
  5. ลากเส้นให้เกิด Value chain โดยมี Users อยู่บนสุด ถัดมาเป็น Needs และเป็น Capabilities โดยที่ capability ที่เป็น dependency กันก็ให้ลากเส้นต่อกันใน chain ด้วย รวมถึงวาง capability ให้ตรง stage ของ Evolution

Stage ของ Evolution

  1. Genesis เป็น stage ที่ capability นั้นยังเป็น concept ข้อสังเกตใน stage นี้สังเกตได้จากความไม่แน่นอน ยังมองเป็นการลองผิดลองถูกอยู่ solution ที่ได้มายังแพง และต้องใช้ทักษะมากในการทำงาน เช่น ในช่วงแรก ๆ ของการเอา AI มาใช้ การสร้างรถที่ขับได้ด้วยตัวเอง
  2. Custom-Built เป็น stage ที่ capability เริ่มได้รับความสนใจบ้างแล้ว solution ถูกสร้างมาแบบ custom-made กระบวนการทำงานต่าง ๆ เริ่มชัดเจน และเริ่มมีการสร้างมาตรฐานขึ้นมาบ้างแล้ว เช่น ในช่วงแรกของการ adopt เอา cloud มาใช้ในการทำ custom software ให้กับองค์กร
  3. Product (+Rental) เป็น stage ที่ demand ในการอยากใช้มากขึ้นไปอีกขั้น มาตรฐานต่าง ๆ ถูกกำหนด ตัว product หรือ service สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในราคาที่เอื้อมถึง การแข่งขันในตลาดเริ่มสูงขึ้น ราคาในตลาดเริ่มลดลง ในขณะที่ quality ของตัว product ก็สูงขึ้น เช่น laptop หรือ โทรศัพท์มือถือ ที่ผลิตออกมาเยอะ ๆ
  4. Commodity (+Utility) เป็น stage ที่ product หรือ service แพร่หลาย และมีมาตรฐานสูงชัดเจน ราคาเป็นส่วนที่ใช้ในการตัดสินใจในลำดับต้น ๆ และการแข่งขันสูงมาก ในขณะที่กำไรไม่สูง และประสิทธิภาพของ product หรือ service เป็นสิ่งสำคัญหลัก เช่น สิ่งอุปโภคพื้นฐาน ไฟฟ้า ประปา ยารักษาโรคพื้นฐาน น้ำมัน ฯลฯ

ตัวอย่าง

ลูกค้า ต้องการเว็บไซต์ เอาไว้เก็บรูป แต่งรูป และสั่งพิมพ์ได้ เราก็จะระบุ Users และ Needs ออกมาได้แบบนี้

รูปภาพจาก https://learnwardleymapping.com/landscape/

หลังจากนั้น สิ่งที่บริษัทของเรามีที่จะทำให้ตอบสนอง Needs เหล่านั้นได้คือ CRM, Data centre, Platform, Computing Unit (Compute), Power

รูปภาพจาก https://learnwardleymapping.com/landscape/

และเราก็ลากเส้น value chain จาก value chain ที่ได้ทั้งหมด เราจะเห็นได้ว่า ยิ่งอยู่บน ยิ่งอยู่ใกล้ Users (ในที่นี้คือ Customer) นั่นแปลว่า ยิ่งใกล้ Users เท่าไหร่ User ก็จะสังเกตได้ จับต้องได้ มองเห็นได้ แต่ถ้ายิ่งอยู่ล่าง ๆ ก็ยิ่งอยู่ห่างจาก Users แต่ก็ยังอยู่ใน value chain อยู่ดี

รูปภาพจาก https://learnwardleymapping.com/landscape/

เสร็จแล้วเราก็โยกแต่ละ capability ไปอยู่ให้ตรงกับ stage ของ evolution ณ ปัจจุบัน

รูปภาพจาก https://learnwardleymapping.com/landscape/

หลังจากที่เราได้ Wardley Map มาแล้ว เราก็จะได้จุดเริ่มต้นที่จะเอามาคุยกันละ

Evolution

อย่างที่บอก Wardley Map มันถูกเอามาใช้พูดคุยกันในฐานะ Landscape ช่วยในเรื่องของการวาง strategy รวมถึงการนำ observation ที่ได้จาก Climate, Doctrine และ Leadership จะทำให้เรามีข้อมูลในการทำ strategic move ที่มากเพียงพอที่จะ move capability ใด ๆ ไปข้างหน้า ทำให้ตัว map เองมันก็จะ evolve ไปเรื่อย ๆ ตาม business evolution ด้วยเหมือนกัน

ข้อมูลอ้างอิง

--

--