EP2- อิซะกายะ ทาโกะยากิ และกลิโกะแมน
ไปญี่ปุ่นกันเถอะ ธันวาคม 2022
โอซาก้า เมืองใหญ่ลำดับสองของญี่ปุ่น และศูนย์กลางธุรกิจของญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่บนเกาะฮอนชูตอนกลางของประะเทศ นอกจากจะเป็น Hub ของธุรกิจแล้ว เราก็ใช้ที่นี่เป็น Hub ของการท่องเที่ยวสามวันแรกด้วย
คนมาโอซาก้าส่วนใหญ่ต้องไป Universal Studio คุณพี่และคุณน้องเองก็เคยไปแล้ว ทริปนี้เราเลยยกเว้น ในสามวันที่เราพักในโอซาก้านี่ เราจะใช้เวลาไปเกียวโต 1 วัน เท่ากับเที่ยวเล่นในโอซาก้าสองวัน สองวันนี้ทำไรกัน ลิสต์ที่เตรียมมาเพียบ! หนักไปทางกิน
วันแรกเรามาถึงบ่ายแล้ว เย็นนี้ตามลิสต์แรกคือต้องไปดูการจัดแสดงแสงสีเทศกาลคริสตมาสธีม Harry Potter ที่ห้าง Grand Front เราพบว่าพื้นที่ด้านข้างของห้างนี้เป็นสวนแบบญี่ปุ่นที่สวยงามมาก ช่วงหน้าหนาวนี้ต้นเมเปิ้ลสีแดงกับแปะก๊วยสีเหลืองแข่งกันโชว์อย่างเต็มที่
Grand Front Osaka เป็น shopping center ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งช่วงนี้กำลังจัด Display งานไฟสำหรับเทศกาลคริสตมาสเป็นธีม Harry Potter พวกเลือดบริสุทธิ์อย่างคุณน้องย่อมไม่พลาด ไฮไลท์ก็จะเป็นต้นคริสตมาสสูง 13 เมตร อยู่กลาง Hall ประดับประดาด้วยของตกแต่ง แล้วก็จะมีโชว์ไฟจาก projector เป็นเรื่องของสี่บ้าน แล้วก็มีของขายไว้ตกทั้งพวกเพียวบลัดและพวกมักเกิ้ล (ซึ่งสำเร็จ) นอกจากนั้นยังต้องไปตามล่าหาแสตมป์ประทับจนครบ คือเดินวนทั่วห้างทุกชั้น ระหว่างเหล่าเลือดบริสุทธิ์ทั้งหลายตามล่าลายแทง ผู้คุมวิญญาณ เอ๊ย ผู้ติดตามก็ช้อปไปพลางๆ ทั้งวินโดว์ช้อป ทั้งต้องจ่ายเงิน ฟินพอกัน
ที่ Grand Front มีร้านมูจิ
มูจิที่นี่ใหญ่มาก มีทั้งส่วนขายของ ส่วนจัดแสดง (กึ่งๆนิทรรศการ) และส่วนที่เป็นร้านอาหาร วันที่เราไป มีนิทรรศการอะไรไม่รู้ แต่เป็นตุ๊กตากระดาษแบบที่เรียกว่า ตุ๊กตาดารุมะจัดแสดงอยู่ แล้วก็มีบ้านมูจิจำลอง กิ๊บเก๋มาก ของมูจิที่ญี่ปุ่นถูกกว่าในไทย บริเวณโซนขายของกินมีหนังสือพวกตำราอาหารขายด้วย ส่วนที่เป็นคาเฟ่และร้านอาหารไม่ใหญ่นัก เหมือนคาเฟทีเรีย เดินไปสั่ง รับใส่ถาด จ่ายตังค์แล้วก็มานั่ง กินเสร็จต้องเก็บด้วยนะ กาแฟธรรมดาแต่ขนมอร่อย
คาเฟ่ลับ
ฉันมีรายชื่อร้านกาแฟที่เขา (ไอ้เขานี่คือใครไม่รู้ ช่างบอกอะไรต่ออะไรไว้มากมาย) แนะนำอยู่ 5 แห่ง สองในห้าปิดไปแล้ว อีกสองร้านอยู่นอกเส้นทางของแผนเที่ยว จึงเหลืออีกร้านเดียวให้ไป จากสถานีรถไฟใต้ดินต้องเดินไปสัก 700 เมตร ผ่านด้านหลังอาคารอะไรสักอย่างของมหาวิทยาลัยคันไซ ในระหว่างที่เดินก็ผ่านร้านกาแฟหลายร้าน ใจชื้นนิดๆว่าหากพลาดร้านนี้ ก็ยังมีอีกหลายร้านให้กินแหละ
กูเเกิ้ลแมพหยุดลงที่หน้าตึกแห่งหนึ่ง หันซ้ายขวาไม่เห็นมีร้านที่ว่า จนเหลือบไปเห็นป้ายเล็กๆชี้เข้าไปในซอย ซอยเล็กมาก สั้นๆ ด้านในมีร้านกาแฟถึงสองร้าน ร้านที่เรามาชื่อ Taiyo No Tou-Green West Shop เป็นร้านกาแฟเล็กๆตกแต่งแนววินเทจ มีอาหารสองสามเมนูพอกรุบกริบ เรานั่งบนชั้นสอง ขนมเค้กอร่อยมากๆ ดีงาม บอกต่อ
ตอนเดินกลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน พวกเราโดนตกด้วยร้าน 100 เยน หมดกันไปคนละหลายร้อยเชียว ถ้าไม่ห้ามกันมีสิทธิหมดตัว
ลายแทงของสายมู
ก่อนมาฉันได้ลิสต์ไว้อีกหนึ่งอย่างว่าต้องมาขอพรที่ศาลเจ้า Sumiyoshi ซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของเมือง ที่นี่เขาว่ากันว่าขอพรเป็นจริงได้ เราผนวกรายการในลิสต์อีกอย่างหนึ่งคือการนั่งรถราง Hankai ไว้ในลายแทงเนื่องจากการไปวัดนี้ง่ายที่สุดคือการนั่งรถรางสายนี้ไป
รถราง Hankai จะวิ่งผ่าเข้าไปในเมือง ป้ายรถรางมักจะอยู่กลางถนน หรือเกาะอยู่ข้างอาคาร ต้องมองหาดีๆ ออกจากรถไฟใต้ดินเราหาป้ายรถรางกันอยู่เป็นนาน นั่งไปเพลินดี ทะลุใจกลางชุมชนที่ไม่ใช้สถานที่ท่องเที่ยว ถ่ายรูปสนุกทีเดียว
ศาลเจ้า Sumiyoshi จะอยู่ด้านในสุดของวัด ไหว้พระขอพรแล้วก็เลือกเก็บหินที่มีคำว่า 五 (Go), 大 (Dai), 力 (Riki) ให้ครบสามก้อน เก็บกลับบ้านเป็นเครื่องรางได้
ซูชิในตลาด
ตอนกลับจากวัดเราต้องเดินผ่านตลาดชุมชนไปยังสถานีรถใต้ดิน ตลาดนี้เป็นซอยยาวๆแต่มีหลังคาคลุมตลอดทาง ร้านค้าอยู่สองข้าง ขายสารพัดทุกสิ่งอัน เราตัดสินใจกินมื้อกลางวันในร้านซูชิร้านหนึ่ง ที่วางซูชิขายเป็นแพ็คๆอยู่หน้าร้าน
อร่อยไม่น่าเชื่อ แถมราคาถูกมากอีกต่างหาก เปิดดูในแผนที่ได้สี่ดาวกว่าแน่ะ คุณน้องฟินกว่าใคร เนื่องจากมีอูนิให้เธอซื้อกินด้วย
กินทาโกะยากิแล้ววิ่งแบบกลิโกะแมน
มาโอซาก้าแล้วไม่ถ่ายรูปทำท่าแบบกลิโกะ (คนไทยเรียก กูลิโกะ) คนก็จะไม่เชื่อว่ามาโอซาก้าจริง ป้ายโฆษณาของกลิโกะที่เป็นรูปผู้ชายวิ่งติดอยู่บนบิลบอร์ดริมคลองโดทนบุริ เป็น check point ที่คนมาถ่ายรูปเยอะมากๆ ผู้คนจะหนาแน่นบนสะพาน Ebisubashi (เราพบว่า เมื่อไปเดินริมถนนใหญ่อีกด้านหนึ่ง จะเห็นป้ายแบบชัดมากๆ โดยไม่มีคนบัง) Sign Board นี้เขาว่าเป็นเวอร์ชั่นที่ 6 แล้ว และเป็นป้ายแรกที่เปลี่ยนเป็นไฟ LED ก่อนหน้านี้จะเป็นไฟนีออน
ตรงสี่แยกโดทนบุริที่เป็นถนนคนเดิน ด้านหนึ่งจะเป็นร้านขายทาโกะยากิที่ดังมาก คิวยาวเหยียด หน้าร้านมีปลาหมึกยักษ์สีแดง เกาะอยู่บนป้าย แต่ชิมแล้วทำไมรู้สึกไม่ค่อยอร่อย อาจจะเพราะคนเยอะ รีบ แป้งเลยดูเละๆไปนิด แต่เนื้อปลาหมึกอร่อย เต็มปากเต็มคำดี ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเศษปลาหมึก ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นร้านขายก้ามปูย่าง ดังเหมือนกัน คิวยาวเหยียดเหมือนกัน กลิ่นปูย่างหอมฟุ้งไปทั้งบริเวณ เราเดินไปจะต่อคิวอาเจ้รีบยกเสากับเชือกมากั้นแล้วบอก sold out โธ่
ส่วนอีกฟากหนึ่งของถนนเบอร์ 26 มีร้าน soft cream กับเครปที่คนต่อคิวกันยาวววว (อีกแล้ว) ลูกทัวร์ชิมแล้วบอกว่าดีงาม โดยเฉพาะ Creme Brulee Crepe
ตามหาร้านฮาจิเมะในโอซาก้า
‘ร้านฮาจิเมะ’ เป็นร้านอิซากายะ (Izakaya- ร้านกินดื่มแบบญี่ปุ่น) ในนิยายของเอโกะ ยามากุจิ ตอนอ่านก็นึกภาพแบบร้านอิซากายะที่ดูในเน็ตฟลิกซ์ แล้วก็คิดอยู่เสมอว่าถ้าไปญี่ปุ่นจะต้องหาร้านแบบนี้กินเป็นประสบการณ์
เราเลื่อนประตูไม้หน้าร้านแห่งหนึ่งในซอยเงียบๆใกล้ที่พัก โอบะซังทำหน้างงๆ ก่อนจะพยักหน้าเมื่อเรายกมือชูว่า 4 ที่ แล้วพาเราไปนั่งในสุด โต๊ะข้างๆเป็นโอบะซังลุคสุดเฟี้ยวสามคนนั่งอยู่ กลางโต๊ะมีจานอาหารอยู่เพียงจานเดียว ส่วนด้านหน้าของแต่ละคนเป็นเบียร์แก้วใหญ่
ทั้งร้านไม่มีภาษาอื่นใดนอกจากภาษาญี่ปุ่น เราหยิบวุ้นแปลภาษาขึ้นมาแล้วทำการสั่งอาหารไป 6 อย่างพร้อมเบียร์ ทั้งร้านมีพนักงานสองคนคือ โอจิซัง (-คุณลุง-) ทำหน้าที่พ่อครัวในเคาน์เตอร์หน้าร้าน และโอบะซัง (-คุณป้า-) เป็นพนักงานเสิร์ฟ
อาหารอร่อยมากอย่างคาดไม่ถึง บางอย่างต้องสั่งซ้ำ มีจานหนึ่งเป็นข้าวสวย โปะมาด้วยไข่ออนเซ็นและซอสในช้อน เรามองหน้ากันไปมาไม่รู้จะกินยังไง จึงเรียกคุณป้ามาอีกครั้งแล้วส่งวุ้นแปลภาษาให้แกอ่าน ถามว่า กินยังไง
‘อ๋ออออ คลุกรวมกันทั้งชามแค่นั้น แล้วก็กิน’ พอคลุกแล้วหน้าตาไม่ดี แต่มันอร่อยมากๆ ซอสดำๆคล้ายๆซอสจาจังเหมี่ยนของเกาหลี
สรุปคืนนั้นกินไป 10 จาน ในขณะที่โอบะซังข้างๆยังคงมีอาหารจานเดียว แต่เบียร์เติมไปไม่รู้กี่แก้ว ส่วนสาวสวยหน้าเคาน์เตอร์ก็มีเพียงถั่วแระหนึ่งถ้วยเท่านั้น
เป็นร้านอิซากายะที่สุดฟิน แม้ว่าจะไม่มีบอกไว้ในแผนที่
ปล.1- ในแผนที่จะบอกชื่อร้าน Fammey ใน Shin Osaka ที่ได้ 4.6 ดาวอันนั้นเป็นคาราโอเกะชั้น 2 ที่มีบันไดทางขึ้นอยู่ข้างประตูร้านอิซากายะแห่งนี้
ปล.2- ราคาถูกมาก
Izakaya แบบ Bistro
ในยุคปัจจุบัน ร้านแบบอิซากายะมีการพัฒนาให้หรูขึ้น มีอาหารหลากหลายมากขึ้น เราเดินผ่านร้านหนึ่งในย่านโดทนบุริ สะดุดตากับโลโก้รูปปลาและขวดสาเก แม้ว่าในแผนที่จะระบุแค่ 3.9 ดาว แต่หน้าตาร้านดูเชิญชวนมาก เราเปิดประตูเข้าไป บริกรหนุ่มถามว่าเราจองโต๊ะหรือเปล่า เขาให้เรารอเมื่อเราบอกว่าไม่ได้จอง สักพักก็เดินกลับมาบอกว่า โอเค ตามมาเล้ยยย
ร้านนี้เมนูหนักไปทางปลาตามโลโก้ร้าน หนุ่มเดียวในกรุ๊ปทดลองสั่งจานเนื้อมาแต่ไม่อร่อยเท่าไหร่นัก แต่จานปลาจัดว่าเด็ด โดยเฉพาะปลาโอดอง กับจานที่เป็นข้าวจี่หน้าแซลมอน ซึ่งต้องรินน้ำชาลงไปก่อนแล้วค่อยตักข้าวกิน จานนี้อร่อยสุดๆ มันจะมีความเค็มเล็กๆกับความหอมกลิ่นไหม้ของข้าวจี่ในปาก
เครื่องเคียงที่ค้นพบอีกอย่างของทริปนี้คือ เครื่องในหมูหมักน้ำส้ม (คือไม่รู้เรียกว่าอะไร) เครื่องในจะซอยมาเป็นเส้นเล็กๆ น้ำราดกลมกล่อมเปรี้ยวหวานเค็มกำลังดี คุณน้องชอบมาก แม้พวกเราจะพยายามบอกว่าเป็นเครื่องในก็ไม่เชื่อ น้องบอกกินแล้วสดชื่น
ร้านนี้ราคาสูงนิดนึง
โอซาก้า ยังมีอะไรให้ไปดู ให้ไปเรียนรู้อีกเยอะ ยังมีอีกหลายๆมุมที่ไม่ได้เล่า นี่เพียงแค่ผิวเผิน บอกแล้วว่าญี่ปุ่นไปได้เรื่อยๆ
อ่านย้อนหลัง