สรุปแผน 9 ขั้นปั้นคุณเป็นเศรษฐี (The Millionaire Master Plan) ตอนที่ 1

Paiboon Panusbordee
Paiboon Biz
Published in
5 min readJan 13, 2017

เป็นหนังสือที่เขียนโดยคุณ Roger James Hamilton แปลโดยคุณพอล ณัฐศิษฎ วาจาสิทธิศิลป์ ผมไม่ได้เป็นหน้าม้าอะไรเป็นพิเศษให้กับหนังสือเล่มนี้ เพียงแต่รู้สึกชอบใน concept และตบหน้าคำสอนของหนังสือสอนรวยหลายๆ เล่ม หรือขยายความให้เข้าใจบริบทมากขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้ายอดขายหนังสือดีขึ้นเพราะบทความนี้พี่พอลผ่านมาเห็นจะช่วยแบ่งรายได้ให้ผมบ้างก็ดีนะครับ 555

ฟังชื่อหนังสือตอนแรกอาจจะเบื่อ และมีความคิดแว่บแรกเข้ามาว่า “อะไรวะ สอนรวยอีกละ สอนให้ลงทุนในหุ้นหรืออสังหา หรือบอกให้ลาออกไปเป็นเจ้าของกิจการแน่ๆ เลยว่ะ” แต่เปล่าครับ หนังสือเล่มนี้จะบอกว่าพวกที่เล่นหุ้นหรืออสังหาแล้วรวย ทำไมเค้าถึงทำสิ่งเหล่านี้ได้ดี และทำไมพอเราทำตามบ้างกลับไม่เห็นรวยเหมือนอย่างเขา วิธีรวยโดยที่ไม่ต้องเป็นเจ้าของกิจการเองก็มีเหมือนกัน แล้วแต่ว่าเราชอบจะไปทางด้านไหนมากกว่ากัน หนังสือเล่มนี้สรุปพวกกับดับทางการเงินของผู้ที่อยากจะรวยเร็ว หวังจะรวยทางลัด หรือเลียนแบบผู้มีชื่อเสียงที่รวยๆ โดยไม่ได้พิจารณาความพร้อมของตัวเอง (พูดง่ายๆ คืออยากข้ามขั้น ลัดขั้นตอนเร็วเกินไป) ได้อย่างดีเยี่ยม ผมอ่านแล้วขอย่อยเป็นบทความไว้ดังนี้

หนังสือได้แบ่งระดับความมั่งคั่งออกเป็น 9 ระดับ (หนังสือเรียกว่าประภาคารแห่งความมั่งคั่ง) เราทุกคนจะอยู่ในขั้นใดขั้นหนึ่งใน 9 ขั้นนี้ และเราจะต้องพยายามไต่มันให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มระดับความมั่งคั่งของตัวคุณเอง ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าคุณหารายได้ต่อเดือนได้สูงมากแค่ไหน คนที่ได้รายได้เป็นล้านต่อเดือนอาจจะอยู่ที่ขั้นต่ำสุดก็ได้ 9 ขั้นที่ว่ามีดังนี้

ภาพประภาคารแห่งความมั่งคั่ง
  1. ระดับใต้สีแดง : เหยื่อ (Victim)
  2. ระดับสีแดง : ผู้เอาตัวรอด (Survivor)
  3. ระดับสีส้ม : มนุษย์งาน (Worker)
  4. ระดับสีเหลือง : นักดนตรี (Player)
  5. ระดับสีเขียว : นักดนตรีนำ (Performer) ← เป้าหมายที่หนังสือสอนรวยชอบขายฝัน
  6. ระดับสีน้ำเงิน : วาทยกร (Conductor)
  7. ระดับสีคราม : ผู้พิทักษ์ (Trustee)
  8. ระดับสีม่วง : ผู้ประพันธ์ (Composer)
  9. ระดับเหนือสีม่วง : ผู้สร้างตำนาน (Legend)

ถ้าอยากรู้ว่าตัวคุณเองอยู่ในระดับไหนอยู่ก็ไปทำแบบทดสอบได้ที่เว็บนี้ครับ

ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าสำหรับคำกล่าวที่ว่า “มี Passive Income มีเวลาส่วนตัวให้ไปเที่ยวให้พักเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจ ใช้เงินทำงาน มีคนหาเงินให้แทนเรา มีอิสรภาพทางการเงิน” ทั้งหลายนั้นคือตั้งแต่ระดับที่ 5 หรือระดับสีเขียวเป็นต้นไป ส่วนคำกล่าวที่ว่า “มีรายได้จากหลายแหล่ง มีอะไรเจ๊งไปอย่างนึงก็ยังไม่เป็นไร” จะเป็นระดับที่ 6 หรือระดับสีน้ำเงิน ซึ่งคนที่อยู่ระดับนี้ส่วนใหญ่มักจะมีเงินเก็บสัก 100–1000 ล้านบาท พอจะให้ใช้ได้ทั้งชีวิตสบายๆ แล้วละ ไม่ต้องเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็สามารถไปถึงระดับนี้ได้นะ

1. ระดับใต้สีแดง : เหยื่อ (Victim)

ระดับนี้สรุปสั้นๆ คือคุณมีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายต่อเดือนของคุณ แม้คุณจะมีรายได้หลักล้าน แต่ถ้าคุณมีรายจ่ายหลักล้านเหมือนกัน และดันมากกว่ารายได้ คุณก็จะอยู่ในระดับนี้ กับดักของคนระดับนี้คือใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีมากเกินไป ไม่ค่อยวางแผนชีวิต อยากทำอะไรก็ทำ มีอิสระที่จะใช้เวลาอย่างที่ใจต้องการและใช้จ่ายกับของทุกอย่างที่ตัวเองอยากได้ ข้อดีคือมีอิสรภาพมากๆ มีอิสระในการเลือก แต่ข้อเสียแน่นอนก็คือต้องเครียดและกังวลตลอดเวลาว่าเงินที่หามาได้จะพอรายจ่ายที่ใช้จ่ายตามต้องการหรือไม่ และจะไม่มีอิสระในการเคลื่อนไหวไปเที่ยวไหนไกลๆ ไม่ค่อยได้เพราะไม่มีเงินจะใช้เที่ยวขนาดนั้น และไม่รู้ว่าจะพลาดงานที่อาจเข้ามาในช่วงนั้นพอดีไหม เลยไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างคล่องตัวนัก ตัวอย่างในขั้นนี้เช่น

Freelance

มีความเป็นศิลปินสูงมากในตัว อยากรับงานก็รับ อยากส่งงานก็ส่ง ไม่ค่อยมีแผนการอะไรมาก หรืออีกแบบคือรับงานมันทุกอย่างแต่เป็นงานที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เช่นกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ ทำให้แทบไม่มีเวลาว่าง นี่เป็น Freelance ในอุดมคติสำหรับการเป็นเจ้านายตัวเองที่ไม่ต้องมีใครมาสั่งแลกกับการที่คุณจะต้องไส้แห้ง หลายคนคิดว่างาน Freelance เลือกเวลาทำงานได้ก็เลยติดกับดักเรื่องการขาดรายได้ไปแทน การที่จะออกจากสภาวะนี้ได้ต้องสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ให้กับชีวิต เช่น เป็น Freelance ที่มีระเบียบแบบแผนมากขึ้น มีกำหนดส่งชัดเจนแน่นอน รับงานแล้วต้องวางแผนว่าไม่ชนกับงานอื่นที่รับมาแล้ว Freelance นี้นับรวมไปถึงผู้ที่อยากมีกิจการเป็นของตัวเองเพราะฟังคนอื่นเค้ามาว่าถ้าอยากรวยต้องลาออกจากงานประจำด้วยนะครับ เพราะลาออกมาแล้วทำกิจการส่วนตัว ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีทีมงานก็ไม่ต่างไปจากรับงานอิสระแบบ Freelance

คนว่างงาน

แน่นอนว่าพวกว่างงานกินเงินพ่อแม่ไปวันๆ ก็จะอยู่ในระดับนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ทางแก้หากเราไม่อยากคิดวางแผนอะไรมากแบบ Freelance ไม่อยากคิดกฎเกณฑ์ขึ้นมาเอง อยากให้คนอื่นสร้างกฎเกณฑ์ให้ ก็ตรงไปตรงมาครับคือสามารถไปสมัครงานเป็นมนุษย์เงินเดือน งานประเภทที่ใครๆ ก็ทำได้เช่นบริกร งานก่อสร้าง พนักงาน 7-Eleven ที่ไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษาอะไรมาก มีเวลาเข้ากะทำงานที่ชัดเจน แน่นอน 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นก็ว่ากันไป แล้วมีรายได้ต่อเดือนที่แน่อน แน่นอนว่าต้องรวมไปถึงการมีวินัยในการใช้เงินด้วยเพื่อคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้เกินรายได้

มนุษย์เงินเดือน

หากคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ต่อเดือนสูงอยู่แล้วแต่กลับไม่มีเงินเก็บเลย แถมมีหนี้อีกตะหาก นั่นแสดงว่าคุณเอาเงินไปใช้จ่ายมากเกินไปเช่น เงินเดือนออกปุ๊บ ไม่เกินสัปดาห์ก็หมดเพราะเอาไปเที่ยว แถมยังมีหนี้บัตรเครดิตที่เอาไปรูดซื้อของจนเต็มวงเงิน จนสุดท้ายต้องยืมเงินชาวบ้านเค้าไปทั่ว หรือใช้เงินจากบัตรโน้นมาโปะบัตรนี้วนๆ เอา ทำให้คุณต้องมาเสียเวลา manage เงินว่าทำยังไงถึงจะยืดระยะเวลาจ่ายออกไปให้ได้นานที่สุด วิธีออกจากระดับนี้นั้นง่ายและตรงไปตรงมามาก คือคุณต้องมีวินัยในการใช้เงิน อย่าใช้เงินเกินตัว ลดค่าใช้จ่ายพวกบัตรเครดิต อย่ารูดเพลิน ให้รูดเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เที่ยวก็ให้มันน้อยๆ ลงหน่อย กินก็เป็นร้านอาหารธรรมดาบ้าง ไม่ต้องซัด Starbuck ทุกวันก็ได้ เป็นต้น ฟังดูเหมือนง่ายเนอะ แต่สำหรับบางคนกลับยากมาก 555

เจ้าของกิจการที่ธุรกิจกำลังขาดทุน

คุณอาจทุ่มเทไปกับบางสิ่งบางอย่างมากเกินไปเช่นลงทุนในส่วนของ Product ของบริษัทตัวเองที่ยังไม่สามารถสร้างรายได้ด้วยเองเลยมากเกินไปโดยไม่ดูกำลังของตัวเอง หวังว่ามันจะช่วยพลิกชะตาชีวิตของกิจการคุณได้เมื่อคุณทำมันเสร็จ (แต่ไม่รู้มันจะเสร็จเมื่อไหร่นี่สิ!) ทำให้บริษัทคุณไม่มีรายได้เลยในระหว่างที่กำลังปั่น Product ตัวเอง แดกแกรบไปวันๆ เอาแต่บ่นว่ารีบๆ ทำให้เสร็จสักทีสิวะ! จะได้มีตังกินข้าวสักที หรือมีค่าใช้จ่ายในการโปรโมทตลอดเวลาแต่ละเลยเรื่องการบริการหลังการขาย เหมือนกับอ่างเก็บเงินของคุณรั่วไหลตลอดเวลา ไม่สามารถเก็บเงินให้คงไว้อยู่ได้ ได้ลูกค้ามาเท่าไหร่ก็รักษาฐานลูกค้าไว้ไม่ได้ ได้แต่ลูกค้าขาจร สุดท้ายทางแก้ก็ต้องหาทางควบคุมสภาวะการเงินให้เป็นบวกให้ได้ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้วยการลดจำนวนพนักงานลง ทำธุรกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ โต ไม่ต้องรีบขยายทั้งๆ ที่เงินทุนยังไม่พร้อมยังมีฐานลูกค้าไม่มากพอ หรือการหารายได้แหล่งอื่นเพิ่มเติมด้วยการรับงาน Outsource ช่วยเหลือธุรกิจอื่นที่ใหญ่กว่าเราเพิ่มเติมไปด้วยระหว่างที่เราก็พัฒนาสินค้าของตัวเองไปพร้อมๆ กันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ วิธีนี้แม้จะทำให้ Product ของเราเสร็จช้าลง แต่อย่างน้อยเราก็ยังมีเงินกินข้าว ยังมีแรงที่จะเอามาทำ Product ต่อ ไม่ใช่ว่าอดข้าวอดน้ำมาทำ Product อย่างเดียว คนทำมันจะมีแรงทำผลงานออกมาให้ดีได้ไงถ้ายังกังวลตลอดเวลาว่ากรูจะอดตายก่อน Product เสร็จไหมเนี่ย! ถ้าไม่อยากต้องรับงานข้างนอกมาทำประทังชีวิตก็ต้องไปขายฝันหาเงินทุนจากนักลงทุนต่างๆ ซึ่งหากคุณเป็นเพียงนักศึกษาจบใหม่ หรือพนักงานบริษัทที่ออกมาทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับที่ตัวเองเคยทำมาก่อนแล้วละก็ บอกได้เลยว่าโอกาสที่คุณจะได้ทุนน่ะต่ำมากๆ เพราะคุณยัง No name โคตรๆ นั่นเอง

พฤติกรรมหรือข้ออ้างยอดฮิต

  • กระแสเงินสดติดลบ
  • โทษคนอื่นแทนที่พุ่งเป้าไปที่หาวิธีแก้ปัญหา — เช่นงานไม่เสร็จก็โทษลูกน้อง โทษการเมือง โทษเศรษฐกิจ โทษลูกค้า ซึ่งก็โทษได้นะ แต่มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอกถ้าคุณยังทำแบบเดิมอยู่ไม่ปรับตัว
  • ปฏิเสธความจริง — เช่น ยอดเข้าชมเว็บไซต์เรามีตั้ง 1 ล้านคนแน่ะ ออกสื่อมาก็เยอะแยะ มีแต่คนทักทาย ชื่นชมเต็มไปหมด แต่พอมีคนถามถึงรายได้ก็กลับเลี่ยงที่จะตอบและเปลี่ยนเรื่องหรือเดินหนีไป ทำเป็นเหมือนปัญหาเรื่องไม่มีกำไรมันไม่มีอยู่จริง
  • ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนอื่น — ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าให้คุณไปเป็นหัวหน้าใคร แต่หมายถึงคุณควรจะเปิดรับความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่าคุณเพื่อช่วยลากคุณให้หลุดพ้นจากระดับใต้สีแดงให้ได้
  • อยากสร้างอาณาจักรตัวเองทั้งที่ยังไม่มีใครรู้จักคุณ และคุณเองก็ยังไม่เก่งพอที่จะรับผิดชอบชีวิตใคร ขนาดตัวคุณคนเดียวยังเอาตัวแทบไม่รอด
  • ฉันลดค่าใช้จ่ายไม่ได้อีกแล้ว — ทั้งที่จริงๆ มีคนอื่นที่สถานการณ์แย่กว่าคุณแต่เค้ายังลดได้
  • ฉันไม่สามารถหาเงินมากกว่านี้ได้แล้ว — อาจต้องเลิกทำบางอย่างที่คุณยึดติด และทำสิ่งใหม่ที่ได้รายได้มากกว่าเดิม เช่น เลิกการเดินสายโปรโมทบริษัท ออกสื่อซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ และเอาเวลามาดูแลการผลิตให้ดีกว่าเดิมหรือคิดโปรโมชั่นใหม่ๆ เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ได้มากกว่าเดิม
  • ฉันใกล้จะพ้นสภาพนี้แล้ว — ฉันกำลังจะรวยนั่นเอง เช่น “ทำไมฉันต้องออกไปหาเงินเพิ่มอีก 100 บาทต่ออาทิตย์ในเมื่อฉันกำลังจะหาเงินได้แสนบาทหรือมากกว่านั้นถ้างานชิ้นนี้ของฉันเสร็จ อีกนิดเดียวเท่านั้นแหละ” ไม่ต่างจากการพูดว่าฉันไม่จำเป็นต้องว่ายน้ำเป็นหรอกเพราะฉันกำลังจะมีเรือในไม่ช้า คิดว่ามันถูกต้องหรือเปล่า?
  • ฉันต้องก้าวตามความฝันของฉัน — ความฝันของฉันสำคัญมากกว่าเงิน เช่น “ฉันยังไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองหรอก รอให้มันโตกว่านี้ค่อยจ่ายก็ได้ ประเทศชาติรอเราอยู่ เราต้องสละความสุขส่วนตัวเพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่” เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่คุณจะออกไปกอบกู้โลก จำเวลานั่งเครื่องบินได้ไหม? วิดีโอแนะนำจะบอกให้เราใส่อ๊อกซิเจนให้ตัวเองก่อนใส่ให้คนอื่นต่อเสมอ เพราะถ้าตัวคุณเองยังไม่รอดแล้วคุณจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปช่วยคนอื่นได้?
  • ฉันจำเป็นต้องลงทุนมากกว่าจะมามัวเอาเงินไปซื้อข้าวกิน — เหมือนคุณเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เป็น 100 แห่งแต่คุณไม่มีเงินจ่ายค่าข้าวตัวเอง ค่าเทอมลูก หรือคุณกำลังพยายามอดมื้อกินมื้อเพื่อเก็บเงินไปลงทุน คุณต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากทั้งๆ ที่คุณเลือกได้ว่าจะขายมันทิ้งให้เหลือแค่ 10 แห่งเพื่อแลกกับความเครียดที่น้อยลงของคุณอย่างนั้นหรือ?

2. ระดับสีแดง : ผู้เอาตัวรอด (Survivor)

ระดับนี้คือคุณมีรายได้เท่ากับรายจ่าย หรือพูดอีกนัยคือไม่มีเงินเก็บเลย คุณสูญเสียอิสระในการเลือกไป แต่แลกกับการได้รับอิสระในการเคลื่อนไหว หรือพูดอีกนัยคือคุณเลือกงานไม่ได้ เพราะต้องทำงานอะไรก็ได้ขอแค่มันสามารถทำเงินให้กับคุณได้เพียงพอจ่ายหนี้ที่คุณก่อไว้ก็พอ มีหนี้ค้ำคออยู่นั่นเอง ซึ่งในระดับนี้คุณยังเป็นเพียงคนที่ไม่มีใครสนใจและรู้จักในฝีมือ แต่คุณมีเวลาว่างมากขึ้นเพราะมีการจัดการเวลาต่างๆ ได้อย่างลงตัว ทำงานแค่ตามเวลางาน ตกเย็น หรือหยุดเสาร์อาทิตย์คุณก็ยังคงสามารถไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ตามใจคุณ

Freelance

มีงานอะไรเข้ามาต้องรับทุกงาน ถ้าไม่รับนั่นอาจหมายถึงการขาดรายได้และตกกลับไปอยู่ที่ระดับใต้สีแดงทันที งานตอนนี้อาศัยลูกฟลุ๊คที่นานๆ จะมีคนจ้างมาทีนึง เลยไม่สามารถเลือกงานอะไรได้ สิ่งที่ต้องทำในการเลื่อนไประดับถัดไปคือการค้นหา passion จากงานว่าตัวคุณเองมีความถนัดอะไรเช่นชอบ/ถนัดทำอาหารก็ไปรับทำอาหารกล่องขายได้ หรือถนัด/ชอบการใช้ความคิดสร้างสรรค์ก็อาจรับออกแบบโลโก้หรือออกแบบภายใน(สถาปนิก) ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะนิสัยของคุณที่ไม่ชอบอะไรที่มันซ้ำซากจำเจ เป็นต้น และประเด็นสำคัญอีกข้อคือคุณควรมองหาคนเก่งที่เป็นต้นแบบไอดอลที่คุณสามารถเรียนรู้จากเค้าได้และไปทำงานร่วมกับเขาซะ ซึ่งผมไม่ได้หมายความว่าเลิกทำ Freelance เป็นพนักงานประจำ แต่หมายถึงคุณควรรู้ว่าคุณมี passion และความถนัดอะไรที่สามารถนำไปช่วยเหลือและส่งเสริมคนที่เก่งกว่าคุณและสามารถเรียนรู้จากเค้าได้บ้าง หากคุณมีความสามารถนั้นคุณก็จะสามารถสร้างรายได้ที่เป็นตัวเป็นตนมากกว่าเดิมไปพร้อมๆ กับเรียนรู้มาตรฐานการทำงานของคนเก่งที่คุณอยากเรียนรู้ ทำให้คุณสามารถได้ทั้งเงินและการพัฒนาฝีมือของตัวเองไปพร้อมๆ กัน พูดง่ายๆ คือในตอนนี้คุณยังไม่เก่งพอ จงอย่าพึ่งทะลึ่งไปทำอะไรของตัวเอง ให้เกาะคนที่เก่งกว่าไปก่อน เรียนรู้งานเรียนรู้มาตรฐานการทำงานจากเค้าก่อน พอเรียนรู้หมดแล้วค่อยว่ากัน เช่น ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Freelance ให้ลองนึกถึงพระเอกที่ชื่อยุ่นว่ามีคนต้องการตัวไปช่วยงานเพราะมีมาตรฐานการทำงานที่เนี๊ยบและดีอย่างไรบ้าง มีเทคนิคการทำงานที่ดี (ที่ไม่ใช่การอดนอนนะ!) ทำให้งานมีคุณภาพอย่างไรที่ลูกค้าจะชอบบ้าง แต่คุณก็จำเป็นจะต้องปรับตารางเวลาให้เข้ากับคนเก่งคนนั้นตามเค้าด้วย คุณยังกำหนดเวลาของตัวคุณเองไม่ได้นั่นเอง ถ้าตั้งใจจะเกาะคนเก่งแล้วก็ต้องยอมรับในชีวิตของคนเก่งคนนั้นและทำตามซะ ทำให้อิสระในการเคลื่อนไหวที่คุณพึ่งจะได้มาจากการเลื่อนมาเป็นระดับสีแดงนี้ต้องหายไปอีกครั้ง ต้องทำตามคนอื่น สรุปแล้วการก้าวไประดับสีส้มก็คือการทำงานอย่างมีคุณภาพ เชื่อถือได้ มีมาตรฐานดี งานไม่ห่วยนั่นเอง

มนุษย์เงินเดือน

เนื่องจากคุณยังไม่มีความสามารถที่แตกต่างจากคนอื่น งานที่คุณทำเป็นเพียงงานที่ใครๆ ก็ทำได้ ฝึกทำแค่วันเดียวก็ทำเป็น เช่นพนักงานแคชเชียร์ บริกรเสิร์พอาหาร ดังนั้นคุณจะทำได้เพียงแค่การทำงานเพื่อหารายได้ประทังชีวิตเท่านั้น เจ้านายคุณพร้อมที่จะไล่คุณออกและหาคนใหม่มาเสียบแทนได้ตลอดเวลา สิ่งที่ต้องทำในการเลื่อนระดับคือคุณต้องค้นหา passion หรือความถนัดเฉพาะตัวให้ได้ หากคุณเรียนจบมหาวิทยาลัยด้านไหนมา (และไม่ได้เกลียดสาขาที่คุณจบมามากนัก) นั่นก็นับเป็นใบเบิกทางในการก้าวสู่ระดับสีส้มได้ เพราะงานที่คุณจะสมัครเริ่มต้องใช้ความรู้ที่เรียนรู้มาหลายปีถึงจะเริ่มทำงานได้ ต้องใช้ทักษะในการทำงาน เงินเดือนของคุณจะสูงกว่างานง่ายๆ พวกแคชเชียร์ที่ไม่ต้องเรียนอะไรมากแน่นอน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพ่อแม่ของพวกเราจึงอยากส่งเสริมให้เรามีการศึกษา จบคณะดีๆ มาเพื่อให้มีความสามารถและคุณภาพในการทำงานมากพอในการที่จะได้เงินเดือนสูงพอเพื่อเป็นมนุษย์งานในระดับสีส้มที่ดีนั่นเอง สำหรับมนุษย์เงินเดือนแล้วนอกจากจะมีปัจจัยเรื่องเงินเดือนแล้ว คุณควรเลือกหัวหน้าให้ดีด้วย เพราะนั่นหมายถึงความสุขในชีวิตการทำงานของคุณเลยทีเดียว ยิ่งเป็นหัวหน้าที่สอนงาน ถ่ายทอดความรู้ สอนบทเรียนให้กับเรา ทำให้เราเติบโตได้ยิ่งดี และแน่นอนว่าเราควรจะเลือกหัวหน้าที่ความสามารถของเราเป็นประโยชน์กับเขา ช่วยทำให้งานใหญ่ของหัวหน้าสำเร็จได้ด้วยฝีมือของเรา ซึ่งสุดท้ายก็จะส่งผล win-win คือหัวหน้าช่วยรายงานถึงความดีของเราและเราก็ได้ up เงินเดือน ส่วนของหัวหน้าก็ได้รับประโยชน์คืองานเสร็จทันตามความต้องการของลูกค้าหรือผู้บริหารนั่นเอง

หากคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ต่อเดือนสูง แต่กลับไม่มีเงินเก็บเลย ก็เป็นไปได้ว่าคุณนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินเสี่ยงต่างๆ ตลอดเวลา เช่นลงทุนหุ้นแล้วติดดอย อยากจะลงก็ไม่กล้า Cut Loss ก็เลยได้เงินเดือนมาเท่าไหร่เอาไปถัวมันเรื่อยๆ หวังว่าสักวันมันจะดีขึ้น แต่สุดท้ายหุ้นตัวนั้นกลับไม่เคยพุ่งสูงขึ้นอีกเลย หรือนำเงินไปผ่อนกู้ซื้อสังหาเพื่อเก็งกำไร เพราะดั๊นนนมีพรายมากระซิบว่าตรงนี้น่าซื้อนะ ทำเลดีมาก ขายได้แน่ๆ ตรงโน้นดีมาก แต่พอซื้อมาจริงๆ ดันขายไม่ออกเพราะไม่เคยขายอสังหามาก่อน ตั้งราคามันซะเวอร์ เลยหาคนซื้อไม่ได้ หรือราคาดันตกกว่าตอนซื้อมา หรือไม่กล้าขายขาดทุน เลยขอเก็บไว้ก่อน เชื่อว่าสักวันราคาที่มันต้องขึ้นแน่ๆ แต่ค่าผ่อนดันเท่าเงินเดือนพอดีเลย เพราะโลภมากเลยจัดที่แพงๆ ดีๆ มา ช่วงนี้เลยกินแกลบ มีเงินเดือนเท่าไหร่เอาไปโปะค่าผ่อนรายเดือนหมด กลายเป็นทาสสัญญาเงินกู้ไป 10–15 ปี ออกจากวังวนไม่ได้สักที เลยไม่มีเงินเอาไปทำอย่างอื่นเลย กลืนไม่เข้า คายไม่ออก พูดอีกอย่างคือไม่อยู่กับความเป็นจริง เอาแต่บอกว่าเดี๋ยวผมก็รวย รอหน่อย (10 ปีเอง!) แฟนถามเมื่อไหร่จะแต่งก็บอกยังไม่พร้อมอยู่นั่น! (ใช่เหรอ?) วิธีแก้ปัญหาก็ตรงไปตรงมาอีกเช่นเคย Cut Loss หุ้นตัวนั้นซะ อย่าไปเสียดาย ถ้าเป็นอสังหาก็ขายอสังหาที่อมๆ ไว้ซะจนกว่าจะพอเหลือเงินให้เอาไปทำอย่างอื่นบ้าง อาจไม่ต้องขายหมดก็ได้ ให้ขายจนกว่าคุณจะมีรายได้มากกว่ารายจ่ายนั่นแหละ หรือขายคอนโดทิ้งเพื่อโปะหนี้แล้วย้ายไปเช่าหอพักที่ค่าเช่ารายเดือนถูกกว่าค่าผ่อนคอนโดแทนก็ได้เหมือนกัน ถ้าบอกว่าเดี๋ยวจะไม่มีที่ซุกหัวนอน จริงๆ แล้วการลงทุนไม่ใช่เรื่องผิด แต่การที่คุณต้องกังวลกับการใช้เงินแบบเดือนชนเดือนแบบนี้จะทำให้ความสามารถในการตัดสินใจระยะยาวผิดพลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นทั้งสิ้นในการลงทุนในหุ้นและอสังหา ไม่ใช่ลงวันนี้แล้วจะรวยพรุ่งนี้ซะเมื่อไหร่!

เจ้าของกิจการ

ในระดับนี้ยังเป็นเจ้าของกิจการที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก หาลูกค้ายังไม่ค่อยได้ สภาวะไม่ค่อยต่างจาก Freelance เท่าไหร่ หรืออาจยังบริหารเงินได้ไม่ดีพอ เช่น พยายามขยายกิจการตลอดเวลา ได้กำไรมาเท่าไหร่ก็เอาไปลงทุนต่อกับโปรเจคใหม่เรื่อยๆ เพื่อเพิ่มรายได้ แต่ผลสุดท้ายโปรเจคเดิมกลับรายได้ลดลงไปเรื่อยๆ และก็ได้รายได้จากโปรเจคใหม่มาหนุน แล้วก็ถูกบังคับให้หาโปรเจคใหม่เรื่อยๆ วนลูปอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายบริษัทก็ไม่เคยมีเงินเหลือพอที่จะเอาไปทำอย่างอื่นเลย วิธีก้าวไปสู่ระดับสีส้มของเจ้าของกิจการนั้นไม่ต่างจากการก้าวสู่ระดับสีแดงจากระดับใต้สีแดงมากนักคือคุณต้องลดค่าใช้จ่าย ลดพนักงาน หรือลดการเริ่มโปรเจคใหม่ๆ ลง แต่ต่อยอดโปรเจคเดิมที่ดูมีโอกาสให้สามารถสร้างรายได้ได้มากขึ้นโดยใช้แรงน้อยกว่าเริ่มโปรเจคใหม่ รวมไปถึงการส่งมอบงานที่มีคุณภาพมากกว่างานเผาๆ ที่ทำให้เสร็จๆ ไปเพียงเพื่อจะได้เงินมาจุนเจือบริษัท หากคุณสามารถส่งมอบงานคุณภาพได้ แน่นอนว่าครั้งถัดไปคุณย่อมจะได้งานที่มีรายได้มากกว่าเดิมโดยอัตโนมัติจากมาตรฐานที่ดีขึ้นของผลงาน ซึ่งคุณอาจใช้วิธีจับมือกับ partner ที่เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่าคุณให้ช่วยป้อนงานให้ก็ได้ (และอย่าทำงานกากๆ ให้เค้าเสียชื่อในฐานะที่แนะนำเราให้ลูกค้าล่ะ!) อย่าพยายามริอาจทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว คุณควรจะหาคนที่มีชื่อเสียงมากกว่าคุณมาช่วย ตัวอย่างเช่นการรับงาน subcontract ต่อมาอีกทอดจากบริษัทใหญ่ก็นับเป็นการช่วยให้คุณอยู่รอดและก้าวจากสถานะไม่มีงาน เงินต่ำ (เพราะไม่ดัง) ทำให้ได้รายได้มากขึ้นจากการอาศัยชื่อเสียงของบริษัทที่ใหญ่กว่าเราในการรับงานมาส่งต่อให้เราแทน

3. ระดับสีส้ม : มนุษย์งาน (Worker)

การเลื่อนมาระดับนี้จะทำให้คุณมีรายได้ดีขึ้นเพราะคุณเริ่มมีความสามารถที่เชื่อถือได้ ทำงานออกมามีคุณภาพ มีความรับผิดชอบสูง คุณจะเริ่มได้รับโอกาสในการทำงานที่ใหญ่ขึ้น ต้องการความชำนาญมากขึ้น ผลลัพธ์สุดท้ายจะทำให้คุณมีรายได้มากกว่ารายจ่าย และมีเงินเก็บสำหรับอนาคตในที่สุด คุณสามารถนำเงินเก็บไปฝากประจำเพื่อสร้างผลตอบแทนให้งอกเงยเพิ่มขึ้นได้ หรือจะเก็บเงินไปผ่อนรถ ผ่อนบ้านก็ได้ หรืออาจนำเงินไปจ่ายเพื่อเข้าคอร์สพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงานก็ย่อมได้ จากที่แต่ก่อนแค่จะหาเงินมา ใช้จ่ายยังแทบไม่รอด ไม่ต้องพูดถึงการนำเงินเก็บไปทำอย่างอื่น ระดับนี้คุณจะได้รับอิสระในการเลือกอีกครั้งแต่มาในรูปแบบใหม่คือคุณเลือกงานได้บ้างแล้วเพราะคุณเป็นคนที่มีมาตรฐานการทำงานที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าหัวหน้าหรือลูกค้าจะสั่งงานอะไรมาให้คุณ คุณก็สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ตามที่ต้องการทุกประการ แต่คุณยังมีสถานะเป็นมนุษย์จับฉ่ายอยู่คือถ้าเปรียบกับหมอ คุณก็คือหมอที่ทำหน้าที่รักษาคนไข้ทั่วไปในแผนกอายุรกรรม ทำหน้าที่รับคนไข้จำนวนมหาศาลที่พุ่งทะลักเข้ามาในแต่ละวันให้ครบตั้งแต่เช้าจรดเย็น ถ้าเป็นอาชีพอื่นคุณก็เลือกบริษัทที่จะทำได้ก็จริง แต่กำหนดอะไรในตัวเนื้องานยังไม่ได้ คุณยังทำตามใจตัวเองในงานแต่ละงานไม่ได้ คุณต้องทำตาม requirement ที่ลูกค้าหรือหัวหน้าให้มา คุณยังมีสิทธิ์โต้แย้งน้อยมาก คุณยังไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ ทำให้ในระดับสีส้ม คุณขาดอิสระในการเคลื่อนไหวหรือทำตามใจตัวเองไปอีกครั้งนั่นเอง

สาเหตที่คุณทำตามใจตัวเองไม่ค่อยได้เพราะคุณจำเป็นต้องเกาะคนที่เก่งกว่าเพื่อเลื่อนมาสู่ระดับสีส้มนี้นั่นเอง คุณยังต้องพึ่งพิงคนอื่นอยู่ ดังนั้นการเลื่อนไประดับถัดไปหรือระดับสีเหลืองก็คือคุณต้องสร้างคุณค่าในตัวเองโดยอาศัยฐานที่คุณสร้างมาจากการเกาะคนที่เก่งกว่านี้ให้ตัวคุณโดดเด่นขึ้นให้ได้ เมื่อทำได้คุณไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงคนอื่นเพื่อให้อยู่รอดแล้ว นั่นแหละคือจุดที่คุณจะเลื่อนไประดับถัดไปได้ และคุณจะเริ่มดึงดูดให้คนอยากมาทำงานร่วมกับคุณได้ การหารายได้ให้เพิ่มขึ้นในระดับสีส้มที่คนทั่วไปมักจะคิดออกมาก่อนวิธีอื่นๆ ก็คือการทำงานหนักๆ เยอะๆ เพื่อให้ได้เงินเยอะๆ หรือสามารถกล่าวได้อีกอย่างคือการใช้เวลาแลกเงิน เมื่อเวลาหมด คุณก็ไม่มีทางที่จะได้เงินไปมากกว่านี้แล้ว คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์เพื่อเดินหน้าต่อไปโดยสร้างโอกาสทำเงินที่ไม่ใช่เวลาแทน เช่น การสร้างเงินจากโอกาส หรือจากพันธมิตรคนละวงการหรือคนละตำแหน่งที่ช่วยทำให้งานภาพรวมดูมีคุณค่ามากขึ้น เป็นต้น

Freelance

คุณได้มีโอกาสเลือกทำงานที่มีรายได้โอเค ทำงานกับใครดีบ้าง แต่ก็ยังต้องรับงานหลายๆ งานเพื่อให้พอต่อค่าใช้จ่ายอยู่ ชีวิต Freelance ฝีมือดีมักแลกมาซึ่งความคาดหวังว่าคุณจะทำงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ งานเสร็จตามเวลาพร้อมคุณภาพที่ดีเยี่ยม นั่นอาจทำให้คุณจำต้องทำงานล่วงเวลามากขึ้น เนื่องจากตารางเวลาของคุณตอนนี้แน่นเอียด คุณไม่ได้อาศัยลูกฟลุ๊ครับงานอีกต่อไป คุณมีงานเต็มตารางตลอดเวลานั่นหมายความว่าลูกค้าต้องการความรับผิดชอบที่มากขึ้น คุณจะไม่สามารถเสียชื่อเสียงในงานที่รับมาได้อีกต่อไปเช่นกันไม่งั้นสิ่งที่คุณสร้างมาทั้งหมดจะเสียเปล่าทันที ผลก็คือหากงานไม่เสร็จตาม plan คุณอาจจะต้องทำงานตลอดแม้เป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อให้งานเสร็จทันตามเวลา และลูกค้าไม่เสียความเชื่อมั่นในตัวคุณ นี่เป็นวงจรชีวิตส่วนใหญ่ของ Freelance มืออาชีพนั่นเองที่ว่าทำงานไม่เป็นเวลา เวลาพักก็คือเวลาทำงานด้วย ยุ่น พระเอกของภาพยนตร์เรื่อง Freelance เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของคนระดับสีส้ม และเมื่อวันใดที่มีเด็กใหม่โผล่มา ทำงานรับผิดชอบได้เท่ากัน คุณก็ยังคงพร้อมจะโดนเขี่ยตกกระป๋องได้อยู่ดี การเลื่อนไประดับถัดไปคือคุณต้องสร้างจุดขายในตัวเองให้มากกว่าการเป็น Freelance มืออาชีพ เช่นในกรณีของยุ่นของภาพยนตร์ Freelance ยุ่นจำเป็นจะต้องก้าวพ้นผ่านกรอบของคำว่า Graphic Designer ให้ได้ เพราะคำว่า Graphic Designer คืองานที่ใช้ทักษะการทำงานมากก็จริง แต่ในทางกลับกันก็มีคนอีกหลายคนที่จะก้าวเข้ามาเป็น Graphic Designer ได้เรื่อยๆ เช่นกัน เช่นเด็กจบใหม่ทั้งหลายที่โผล่มาเรื่อยๆ ทุกปี แถมมีจำนวนไม่น้อยซะด้วย การก้าวผ่านกรอบของคำว่า Graphic Designer เช่น สามารถที่เข้าใจความต้องการลูกค้ามากขึ้น คิด Campaign แปลกแหวกแนวให้ลูกค้าได้ แนะนำว่าอะไรดีไม่ดีได้ หาลูกค้าได้เองโดยไม่ต้องพึ่งเจ๋โดยอาศัยจากการเก็บสะสม portfolio จำนวนมากนำไปเสนอลูกค้าว่าผ่านงานอะไรมาบ้าง (ซึ่งระดับยุ่นคงมี port เป็นร้อยๆ ชิ้นแล้วมั้ง) ซึ่งนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่ยังไม่พอที่จะก้าวพ้นระดับสีส้ม สุดท้ายยุ่นจะต้องสร้าง Brand ให้ตัวเองได้ถึงขั้นว่า “อ๋อ คนที่ออกแบบ Campaign โฆษณาสินค้าให้ Adidas เหรอ ยุ่นไง ไปคุยกับเค้าสิ ทีเดียวจบ” และพอ Brand ดังมาจ้างงานแล้ว Brand คู่แข่งก็ย่อมที่จะอยู่เฉยไม่ได้ และเริ่มสนใจละว่า “เห้ย ใครออกแบบโฆษณาตัวนี้วะ โคตรเจ๋งเลย งานละเอียดมาก แตกต่างจากเจ้าอื่นลิบลับ ไปสืบมาซิ เราต้องจ้างคนๆ นี้เท่านั้น โฆษณาจะได้สะดุดตา สู้เจ้าที่โฆษณาไปแล้วได้ ปล่อยให้คู่แข่งนำหน้าเราไม่ได้ จะทุ่มเงินเท่าไหร่ก็ยอม” ปัจจัยสำคัญของการหลุดพ้นจากระดับสีส้มนี้คือลูกค้าต้องยอมจ่ายเงินเยอะๆ เพื่อจะได้งานเราเพราะงานเราโดดเด่นกว่าคนอื่นให้ได้ หากลูกค้ารู้จักเราและอยากจ้างเราแค่ในแง่ราคาถูกกว่าคนอื่น ไม่ต้องห่วง สักวันจะมีคนที่ถูกกว่าโผล่มาแน่ตราบเท่าที่กระบวนการผลิตยังเหมือนเดิม และเราก็ไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกกว่าคนอื่นมากนัก การปั่นงานจนหัวฟูใครๆ ก็ทำได้ ทำงานจนดึกดื่นใครๆ ก็ทำได้เช่นกันดังนั้นจึงมีคนมาแทนเราได้แน่นอน แต่หากเราสามารถส่งมอบคุณค่า (Value) ได้ ถ้างาน Graphic Design มันตันไดัแค่นั้นถามว่าทำอย่างไรถึงจะเพิ่มคุณค่าในงานให้มากขึ้นได้? เราก็ต้องแนะนำลูกค้าได้ครับว่าต้องทำยังไงถึงจะโดดเด่น ถึงจะทำให้เป็นที่สนใจ ไม่ใช่เราฟังคำสั่งลูกค้าอย่างเดียวว่าอยากได้เหมือนเจ้านั้น เหมือนเจ้านี้ แต่เราต้องบอกได้ว่าจุดเด่นของลูกค้าคืออะไรที่แตกต่างจากคู่แข่งและสามารถใช้เป็นจุดขายในงานโฆษณาได้ และให้จุดๆ นั้นมาสร้างโฆษณาที่แตกต่าง มาสร้างโฆษณาที่สร้าง “เพื่อลูกค้าคนนั้นเท่านั้น” เมื่อคุณสามารถส่งมอบงานที่เฉพาะเจาะจงให้ลูกค้าดูแตกต่างจากงานอื่นๆ ได้ นั่นแหละคือจังหวะที่คุณจะสามารถรับเงินจำนวนมากขึ้นได้ และทำงานน้อยลงได้โดยเดือนนึงอาจจะรับงานใหญ่ของลูกค้าเจ้าเดียวก็อยู่ไปได้อีก 2–3 เดือน ไม่ต้องไปรับงานเล็กๆ หลายงานให้เหนื่อยให้เสียเวลาอีกต่อไป อย่าลืมว่าเราเล่นตัวได้แล้ว ณ จุดนี้ มีคนมารุมจ้างงานแบบแทบจะต่อคิวเพื่อให้ได้เราเป็นคนทำงานให้เค้าเลยทีเดียว เมื่อคุณทำได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าก้าวข้ามเข้าสู่ระดับสีเหลืองโดยสมบูรณ์ โอกาสจะวิ่งเข้าหาคุณเองโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องวิ่งไปคอยถามว่า “พี่ๆ มีงานให้ผมไหม” อีกต่อไป

ตัวอย่างบุคคลที่สามารถเลื่อนไประดับสีเหลืองได้โดยที่ยังอาจนับว่าทำงานอิสระอยู่ และมีชื่อเสียงมากพอก็คือ โน้ต อุดมนั่นเอง เค้ามี Branding ที่ชัดเจนว่าเป็นนักพูดที่สร้างอารมณ์ขันให้กับผู้ชม ดังพอจนสามารถดึงดูดให้คุณตันเข้ามาช่วยกันโปรโมทธุรกิจของกันและกันได ถามว่าเค้าจำเป็นต้องไปรับทำงานพูดแบบจิปาถะทั่วไปเพื่อประทังชีวิตไหม ไม่เลย! ก็งาน Talk Show เค้าทีนึงขายตํ๋วเข้าชมให้คนได้ตั้งเป็นล้าน เค้าจะเสียเวลาไปพูดงานเล็กๆ ทำไม! เค้าไม่จำเป็นต้องรับงานพูดด้านอื่นที่เขาไม่ถนัดเช่นพูดอบรมพนักงานใหม่ของบริษัทใหญ่อย่างเคร่งขรึมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานซึ่งเขาอาจจะพูดได้แต่ไม่เก่งเท่าการสร้างอารมณ์ขันให้กับคนดูและทำได้ดีกว่านักพูดคนอื่นๆ นี่เป็นตัวอย่างของคนที่หลุดพ้นจากการทำงานแบบเอาเวลาไปแลกเงินแล้ว เพราะตัวโน้ต อุดมเองมีคุณค่ามากกว่านักพูดธรรมดาทั่วไปนั่นเอง จึงสามารถสร้างรายได้ได้มากกว่านักพูดคนอื่นๆ มี Position ที่แตกต่างจากนักพูดคนอื่นๆ อย่างชัดเจน

มนุษย์เงินเดือน

คุณสามารถเลือกงานได้ เช่นเดียวกับ Freelance ว่าจะเข้าทำงานที่ไหนดี แน่นอนว่าเจ้านายก็ย่อมจะคาดหวังความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้นจากตัวคุณ เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่าพนักงานที่ขยันคือพนักงานที่อยู่ล่วงเวลาหรือทำ OT เพื่อหวังโบนัสหรือการเลื่อนสู่ตำแหน่งที่สูงกว่า ถ้าคุณหวังจะเลื่อนตำแหน่งเร็วๆ คุณก็ต้องทำตัวให้ขยันกว่าชาวบ้าน คุณอาจจะไปเที่ยวกับเพื่อนได้น้อยลงเพราะต้องเคลียร์งานที่ออฟฟิศซึ่งอาสารับมาทำเพื่อแสดงให้ผู้บริหารเห็นให้เสร็จก่อนถึงจะกลับบ้านได้ ดังนั้นคุณจะสูญเสียอิสระในการเคลื่อนไหว ไม่ค่อยว่างไปเที่ยวกับเพื่อนได้นั่นเอง การจะเลื่อนไประดับถัดไปก็แน่นอนคือคุณต้องเลื่อนตำแหน่งไปเป็นหัวหน้างานให้ได้เพื่อที่จะได้มีคนมาทำงานแทนคุณได้และคุณจะเป็นคนวางแผนโปรเจคตามที่คุณคิดว่าควรจะเป็นได้ตามใจ ปรับเปลี่ยนแผนงานให้เหมาะสมกับตัวคุณเองได้ จากที่ก่อนหน้านี้ต้องทำตามแผนของหัวหน้าคนอื่นที่เราสังกัดมา ทำให้ได้รับอิสระในการเคลื่อนไหวทำตามใจต้องการกลับมาอีกครั้ง (เพราะสั่งได้แล้ว) และคุณจะเริ่มมีบารมีมากขึ้นในระดับสีเหลือง อาจมีชื่อเสียงว่าทำงานดี ดูแลลูกน้องดี คุณก็จะเริ่มมีลูกน้องที่ประทับใจในตัวคุณและอยากมาทำงานกับคุณด้วยเพราะคุณเก่งขึ้นแล้ว (ตามสูตรที่คนเก่งมักจะมีคนมาเกาะจากระดับสีแดง) เมื่อคุณมีลูกน้องมาคอยช่วยงานซึ่งก็คือลูกน้องจากระดับสีแดงและสีส้มแล้วคุณก็จะมีเวลาที่สั่งลูกน้องทำงานแล้วคุณไป focus ที่ส่วนอื่นได้และผ่อนคลายงานยุ่งๆ ตอนสมัยอยู่ระดับสีส้มให้เบาลงได้ แต่จริงๆ แล้วคุณสามารถเลือกที่จะอยู่ค้างในระดับสีส้มนี้ไปตลอดชีวิตไม่เลื่อนขั้นแล้วก็ได้หากคุณไม่ต้องการจะวุ่นวายกับคนอื่น ขอทำงานที่รับผิดชอบพอ ไม่ต้องคิดวางแผนให้ทีมงานมาทำงานแทน หรือไม่อยากวุ่นวายกับการสั่งงานคนอื่นตามงานคนอื่น หากคุณคิดว่ารายได้ต่อเดือนคุณสูงพอที่จะใช้ชีวิตสบายๆ ไปเรื่อยๆ ได้แล้ว แต่คุณก็ต้องยอมรับเรื่องที่ว่าคุณไม่สามารถบงการชีวิตตัวคุณเองได้มากนัก คุณต้องทำตามคนที่เก่งกว่าเสมอๆ ไม่งั้นคุณจะไม่สามารถอยู่ได้

สำหรับคนที่เรียนจบมาแบบจบตามพ่อแม่สั่ง ไม่ได้ชอบในสาขาที่เรียนมานัก และเชื่อคำกล่าวที่ว่า “จบอะไรมาก็ได้ที่มันรวยๆ งานการมั่นคง เงินเดือนเยอะๆ ต่อไปจะได้สบาย เป็นเจ้าคนนายคน” มักจะก้าวข้ามจากระดับสีส้มนี้ไปไม่พ้น หรือต่อให้ก้าวผ่านไปเป็นหัวหน้าได้แบบฟลุ๊คๆ หรือใช้เส้นช่วย ก็จะเป็นหัวหน้าที่ห่วยๆ ไม่ได้รับการยอมรับจากลูกน้อง โดนลูกน้องนินทาลับหลังตลอดเวลา คุณจะไม่สามารถสร้างความแตกต่างและโดดเด่นออกจากกลุ่มพนักงานสีส้มด้วยกันได้เพราะที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ก็แทบจะฝืนกล้ำกลืนเต็มทนแล้วนะ ถ้าต้องมาวางแผนจัดการโปรเจคทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าใจ ไม่ได้ชอบอีกนี่ก็ลาขาดเลย ไม่ไหวแน่ๆ สุดท้ายคุณก็จะเป็นแค่หัวหน้าที่ไม่มี passion อะไร ทำงานเพื่อเงินเท่านั้น และจะพยายามทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตำแหน่งที่คุณได้มานั้นหล่นหายไปให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่มีฝีมือมากกว่า ใช่แล้วครับ มันคือระบบราชการไทยที่มีการคุมอำนาจเป็นลำดับขั้นนั่นเอง ถ้าเป็นบริษัทใหญ่คุณก็คือหัวหน้าที่จ้องแต่จะเตะขัดขาเด็กใหม่ตลอดเพราะไม่อยากสูญเสียสิ่งที่ตัวเองได้มา เดี๋ยวจะไม่มีกินมีใช้ ทำให้สุดท้ายทั้งระบบราชการหรือบริษัทนั้นๆ ก็ไม่สามารถเติบโตต่อไปได้ และการทุจริตคอร์รัปชั่นก็จะเกิดง่ายขึ้นเมื่อคนรู้ตัวว่าไม่สามารถเก่งได้มากกว่านี้อีกแล้วนั่นเอง ดังนั้นหากคุณไม่อยากอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้ก็จงหาสิ่งที่คุณชอบ มี passion กับมันซะ แล้วคุณจะมีโอกาสทำเงินจากมันได้มากกว่างานที่เค้าว่า “มั่นคง” เสียอีก คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินได้ก็ต่อเมื่อคุณค้นพบงานที่คุณชอบเท่านั้นถึงจะไต่ระดับไปเป็นระดับสีเหลือง และสีเขียวที่แท้จริงได้

เจ้าของกิจการ

ในระดับสีส้มจะเป็นผู้ที่มีงานมากมาย มีงานทำเรื่อยๆ เจ้าของกิจการสีส้มส่วนใหญ่คือคนที่ไม่มี Product เป็นของตัวเอง เป็นบริษัทรับจ้างผลิตของเป็นหลัก เช่น Software House แม้จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีรายได้หลักล้าน แต่ลูกค้าก็มีทางเลือกพร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการจากบริษัทเกิดใหม่ที่เป็นเจ้าเล็ก รุ่นใหม่ไฟแรงและที่มีราคาถูกกว่าได้เสมอๆ รวมไปถึงบริษัทที่มี Product ที่ขายได้เฉพาะบริษัทไม่กี่บริษัทด้วยนะอาจด้วยเนื้องานไม่มีฐานลูกค้าชัดเจนพอหรืออะไรก็ตาม และหากวันใดที่บริษัทคู่ค้าที่เราไปพึ่งพาบารมีในการรับงานหรือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ค้ากันมานานเกิดเปลี่ยนใจไปใช้บริการเจ้าอื่น หรือเปลี่ยนนโยบายลดการจ้างงานภายนอก เน้นทำเองมากขึ้นเมื่อไหร่ บริษัทในระดับสีส้มเหล่านี้ก็พร้อมที่จะล้มหายตายจากไปได้ง่ายๆ ทันทีเพราะพึ่งพาอาศัยบริษัทหรือคู่ค้าอื่นในการทำธุรกิจมากเกินไป บริษัทเหล่านี้มักจะกลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวการเปลี่ยนไปของโลก และไม่พยายามที่จะปรับตัวตามยุคสมัยมากนัก บริษัทเหล่านี้มักจะทำงานด้วยวิธีการเดิมๆ ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง จนมีคู่แข่งที่เร็วกว่ามาแย่งลูกค้าไปในที่สุด วิธีการก้าวไปสู่ระดับถัดไป ระดับสีเหลืองคือคุณต้องเข้าสู่ Nich Market บางอย่าง คุณต้องสร้าง Product ที่เป็นของบริษัทคุณเองซึ่งไม่ได้รับจ้างใครทำ เมื่อพูดถึง Product ตัวนี้จะต้องมีคนรู้จักและยอมรับนับถือใน Product ตัวนี้และนึกถึงคุณ เมื่อพูดถึงชื่อบริษัทของคุณก็จะรู้ทันทีว่าบริษัทนี้เด่นด้านไหนในตลาด มีจุดขายคืออะไร ซึ่งการรับจ้างทำงานอะไรก็ได้เลี้ยงชีพบริษัทไปวันๆ ไม่มีทางสร้าง Branding ให้คนทั่วไปรู้จักได้ ผู้คนจะรู้จักบริษัทของคุณแค่ในด้านการทำของเก่ง แต่ไม่รู้ว่าจะหยิบยื่นโอกาสอะไรมาให้คุณได้นอกจากงานที่เพิ่มขึ้นแต่ไม่ได้เพิ่มค่าจ้างต่อชิ้นงานมากขึ้น เหมือนลูกค้ารู้ว่าร้านคุณทำอาหารอร่อย แต่พอจะแนะนำเพื่อนให้มากิน เพื่อนถามว่ามีเมนูอะไรแนะนำบ้างก็ไม่สามารถบอกได้ แต่ถ้าสามารถบอกได้ว่า “อ๋อ ร้านนี้ไก่ทอดอร่อยที่สุดเลย (KFC) ร้านนี้แฮมเบอร์เกอร์อร่อยที่สุด (แมคโดนัลด์)” นั่นจึงจะเรียกว่าอยู่ในระดับสีเหลือง แต่ในระดับสีส้มบริษัทของคุณจะติดกับดักในเรื่องเมื่องานมากขึ้นคุณก็เพิ่มคนเพื่อขยายบริษัทเพื่อเพิ่มรายได้ แต่พองานลดลงคุณกลับไม่สามารถไล่พนักงานออกได้ง่ายๆ เพราะต้องจ่ายค่าชดเชย และคุณก็คาดเดาปริมาณงานที่จะเข้ามาได้ยากซะด้วย สถานะของบริษัทคุณจะไม่มีทางก้าวไปสู่ขั้นตอนการทำงานที่ลงแรงน้อยแต่สร้าง Value ได้มากจนได้เงินค่าจ้างมากตาม สุดท้ายคุณก็เป็นหนูถีบจั่นที่ไม่สามารถหยุดถีบแม้ช่วงสั้นๆ ได้เลย แต่หาก Product ของคุณมี Branding ดึงดูดบริษัทอื่นๆ ให้เป็นฝ่ายมาขอเป็น partner กับเราเองโดยที่เราไม่ต้องเป็นฝ่ายวิ่งไล่หา partner เอง (การรับจ้างคือการวิ่งถามว่าพี่มีงานให้ผมไหมซ้ำๆ อย่างนั้น) การจะเป็นแบบนั้นได้ Product เราจะต้องมี Value มากพอที่จะส่งผลกระทบกับชีวิตผู้คนจนเค้ามาสนใจเราได้เอง และอาจจะต้องหัดออกสื่อบ้างเพื่อประกาศตัวเองให้เป็นที่รู้จักสู่สาธารณชน และสร้างโอกาสในการลงทุนให้ดึงดูดมาหาคุณได้ ตัวอย่างก็เช่นพวกบริษัท Startup ดังๆ ที่คอยไปพูดงานนั้นงานนี้แบ่งปันความรู้ให้ฟรีนั่นเอง นั่นเป็นการสร้างโอกาสสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับตัวบริษัทมากๆ เมื่อไปถึงจุดนั้นได้แล้วคุณจะไม่ต้องเหนื่อยกับการวิ่งไล่หาโอกาสอีกต่อไป แต่โอกาสจะวิ่งมาหาคุณถึงที่เอง

ทำไมเราข้ามขั้นไประดับสูงๆ เช่นสีเหลือง (ระดับที่ 4) ทันทีไม่ได้?

ก่อนที่เราจะไปต่อกันที่ระดับสีเหลือง คุณคงมีคำถามในใจ คุณทุกคนคงจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ถ้าจะรวย ยังไงก็ต้องเป็นนายของตัวเอง” ซึ่งไม่จริงเสมอไป แต่ก็เป็นคำที่มีผลกระทบในสังคมยุคนี้มากพอสมควร ทีนี้พอทุกคนอยากเป็นนายของตัวเอง คุณก็อาจจะคิดว่าผมพึ่งเรียนจบ หรือพึ่งลาออกจากการเป็นพนักงานประจำ(สีส้ม) ขอกระโดดไปเป็นระดับสีเหลือง ซึ่งเป็นระดับกิจการ มีลูกน้องให้สั่งการใช้งานเลยได้ไหม คำตอบคือมันก็ได้ แต่คุณต้องเข้าใจว่าการกระโดดจากระดับใต้สีแดง (รายจ่ายมากกว่ารายได้) มันยากมาก คุณที่พึ่งลาออกจากบริษัทมาไม่มีรายได้เลย คุณก็ต้องตกไปอยู่ระดับนี้เป็นธรรมดา และผมต้องบอกด้วยว่าการไต่ระดับในประภาคารของมนุษย์เงินเดือนที่ลาออกมานั้นก็แทบจะต่างจากการไต่ระดับทั้งๆ ที่ยังอยู่ในบริษัทเดิมหลายเท่านัก เพราะ Branding ที่คุณสร้างมาว่าเป็นคนทำงานดีเลิศนั้นเป็นที่รู้จักแค่ในหมู่ผู้บริหารในบริษัทเดิมและในหมู่ HR เท่านั้น แต่ Branding ของคุณในฐานะลูกค้าตัวจริงที่มาจ้างทำงานนั้นแทบจะเป็นศูนย์เพราะเค้าจ้างผ่านในนามบริษัท ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นสักหน่อยว่าคุณเก่งมาจากไหนอย่างไร และการลาออกมาทำกิจการตัวเองยังทำให้การใช้ทรัพยากรทุกอย่างจำกัดไปหมดอีกด้วย เพราะตอนนี้คุณตัวคนเดียว ไม่มีคนจากแผนกที่จะไปขอยืมแรงมาใช้ได้ คุณแทบจะต้องเรียนรู้ชีวิตการไต่บันไดอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แป๊บเดียวจะทำได้เลย ดังนั้นการไต่ไปยังระดับสีเหลืองทันทีนั้น โอกาสสำเร็จมีไม่ถึง 5% และในวันที่คุณทำธุรกิจเจ๊งขึ้นมา คุณจะดิ่งลงเหวพร้อมหนี้สินที่ก่อทันทีหากไม่ระวังตัวตามหมายเลข 2 ในรูปด้านบน ไม่ต่างกับคุณกำลังเล่นพนันครั้งใหญ่กับชีวิตตัวเองซึ่งจะทำให้คุณตัดสินใจได้ยากมากเพราะต้องมีข้าวกินไปพร้อมๆ กับต้องรวย ทำให้วางแผนได้ยากมากตามที่เคยกล่าวไว้แล้วในระดับใต้สีแดง แต่หากคุณค่อยๆ สร้างบริษัทจากศูนย์แล้วค่อยๆ โตไต่ระดับทีละขั้นตามลำดับที่ควรจะเป็น เมื่อคุณพลาด คุณก็แค่ทำรายได้ได้ไม่ถึงเป้า อย่างมากก็แค่กระเด็นตกกลับไประดับสีแดงที่ไม่มีเงินไปลงทุนเพิ่มตามหมายเลข 1 ในรูปด้านบนเพราะคุณค่อยๆ สร้างฐานมาแล้วอย่างมั่นคงจึงตกไปไม่ไกล ทำให้กรณีเลวร้ายก็ไม่ถึงกับไม่มีเงินจ่ายเงินเดือน ไม่มีตังกินข้าว บริษัทก็ยังอยู่ต่อได้โดยไม่ต้องปิดตัวลง ณ จุดนั้นหาก Vision คุณยังไม่เปลี่ยน คุณยังมีโอกาสแก้ไขตัวเองได้ง่ายกว่าการปิดบริษัทแล้วมาเปิดบริษัทใหม่ทั้งหมดจากศูนย์จริงไหม? นั่นคือที่มาของคำว่า Pivot ของเหล่า Startup และการที่คุณพยายามเลื่อนระดับทีละขั้นอย่างมั่นคงมันย่อมเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจสำเร็จมากขึ้นตามไปด้วย เพราะยิ่งคุณอยู่ในระดับที่สูง คุณจะเริ่มมองเห็นโอกาสทำเงินได้หลายช่องทางมากกว่าการยืนที่ระดับต่ำๆ มาก นั่นคือที่มาของคำว่า Fail fast, succeed faster สำหรับ Startup พวกเค้าลุกได้เร็วเพราะพวกเค้ามีประสบการณ์อันแข็งแกร่งเป็นเบาะรองรับให้ไม่เจ็บมากจึงลุกได้ไว แต่ถ้าคุณกระโดดข้ามขั้นมา เมื่อ Fail ทีนึงคุณจะตกลงไปต่ำมากตามหมายเลข 2 ทำให้คำกล่าวที่ว่า Fail fast, succeed faster นั้นไม่เป็นจริงกับคนกลุ่มนี้เพราะกว่าจะลุกมาตั้งตัวได้อีกครั้งก็นานเลยดันตกแรงจากที่สูงไปทะลุฝังใต้ดินต่ำกว่าบันไดขั้นแรกเสียอีก

คุณอาจจะเคยเห็น Startup ชื่อดังที่ประกาศข่าวครึกโครม ได้เงินลงทุนมาตั้งแต่เปิดตัวได้ไม่นาน แต่สุดท้ายข่าวคราวก็เงียบหายไปและปิดตัวลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เพราะปัญหาภายใน นั่นคือตัวอย่างของพวกที่ชอบเล่นพนัน พยายามสร้างชื่อเสียงแบบผู้เล่นระดับสีเหลืองแบบก้าวกระโดดเร็วเกินไป แต่สุดท้ายขาด Skill การทำงานที่เป็นมาตรฐาน การทำงานให้เสร็จสิ้นของระดับสีส้มที่กระโดดข้ามขั้นมา สุดท้ายเลยไปไม่รอดอยู่ดี และตกกลับไประดับใต้สีแดงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็แล้วแต่ตัวคุณเองว่าคุณจะเลือกเส้นทางแบบไหน ถ้าคุณมั่นใจว่าไม่ว่าจะเจอสถานการณ์กดดันแค่ไหนก็ตามคุณจะยังคงการตัดสินใจอันเฉียบแหลมมั่นคงและถูกต้องได้คุณอยากจะลองกระโดดข้ามขั้นก็ย่อมได้

สำหรับคนที่ต้องการจะรวย บางคนต้องเป็นนายตัวเองเท่านั้นถึงจะรวยแลกมาซึ่งความเสี่ยงที่มากกว่าและต้องรู้รอบด้านมากกว่า แต่บางคนก็ชอบที่จะอยู่ในบริษัทใหญ่ๆ มั่นคงไปเรื่อยๆ ก็ไม่ผิดอะไร แม้เป็นพนักงานคุณก็ยังคงสามารถไต่ระดับในประภาคารแห่งความมั่งคั่งขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ ขอแค่คุณเข้าใจ concept ของมันก็พอ แต่แน่นอนว่าการเป็นพนักงานก็แลกมากับการช่วยให้คนอื่นประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ทำตามความฝันตัวเองให้สำเร็จ หากคุณยอมรับข้อเสียตรงนี้ได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร หรือหากบังเอิญคุณมี passion ตรงกับ Vision ของบริษัทพอดี การช่วยให้บริษัทสำเร็จก็เท่ากับคุณสำเร็จด้วยนั่นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่

ปิดท้ายด้วยภาพด้านบนครับ ความล้มเหลวอยู่คู่กับเราเสมอ ฉะนั้นหากเราจำเป็นต้องพลาดบ่อยๆ อยู่แล้ว แล้วเราอยากพลาดแล้วยืนอยู่ไม่ไกลจากที่เดิมมากหรือพลาดแล้วตกกระเด็นไปไกลกันล่ะ? เลือกกันเอาเองละกันครับ

อันที่จริงในหนังสือเล่มจริงยังมีรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละระดับอีกมาก คือคนเราทั่วๆ ไปจะมีอัจฉริยภาพที่โดดเด่นแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ซึ่งคนที่มีอัจฉริยภาพแต่ละแบบนั้นจะมีเส้นทางการก้าวขึ้นระดับถัดไป ข้อควรระวัง รวมไปถึงจุดอ่อน หลุมพรางต่างๆ แตกต่างกันไป หากคุณต้องการทราบรายละเอียดมากกว่านี้ก็แนะนำให้ไปซื้อมาอ่านได้ที่นี่เลยครับ หรือหากคุณไม่แน่ใจในความถนัดหรือพรสวรรค์ของตัวคุณเองในสี่ประเภทนั้นก็สามารถไปทดสอบออนไลน์ได้ฟรีที่ GeniusU ครับ

เนื่องจากบทความนี้แค่ 3 ขั้นแรกก็ยาวมากๆ แล้ว ส่วนที่เหลืออ่านได้ในบทความฉบับถัดไปคลิกที่นี่ครับ

--

--

Paiboon Panusbordee
Paiboon Biz

7 Years entrepreneur in game industry. Got invested for 4 years. Now looking for a new chapter in my life to change the world.