“ข้อได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรม” — อะไรคืออาวุธสำคัญที่ทำให้ตัวเราและทีมของเราและบริษัทของเรามีอำนาจและโอกาสเหนือกว่าคู่แข่ง … แบบไม่เป็นธรรม
จุดกระอักกระอ่วนที่สุดในช่วงดีลงานโปรเจกต์คือการต้องตอบคำถามที่ว่า “แล้วราคาเท่าไร?” เป็นครั้งแรก อาจจะแจ้งตัวเลขต่อหน้า ผ่านทางโทรศัพท์หรืออีเมล์ … มันเป็นจังหวะวัดใจกันระหว่างคนจ่ายและคนทำ เราต้องลุ้นหนักว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นตัวเลขสรุปรวมที่ด้านล่างของเอกสาร
เมื่อคนไม่พอ เมื่องานล้นมือ เมื่อต้องทำงานที่ไม่มีความชำนาญ เมื่ออยากตัดงานน่าเบื่อและไม่สร้างคุณค่าทิ้งไป เมื่อต้องการลดค่าใช้จ่าย … เอ้าซอร์สคือตัวเลือกแรกๆ
แนวคิดการนำเสนอมื้ออาหารที่ต่างกัน
บุฟเฟ่ต์ — “อาหารหลากหลายที่กินได้ไม่จำกัด” ถูกตั้งราคาไว้ในระดับที่เหมาะสมด้วยการคำนึงถึงความเสี่ยงแล้วว่าจะได้กำไรจากการที่แขกส่วนใหญ่กินได้ไม่คุ้ม ……
ดูเหมือนผมจะรู้อะไรหลายเรื่องแต่ผมก็ไม่รู้อะไรอีกมากมาย ดูเหมือนผมจะเชี่ยวชาญในบางเรื่องแต่ก็มีความรู้เพียงน้อยนิดกับหลายๆเรื่อง … และ “สตาร์ทอัพ” ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผมไม่มีประสบการณ์ตรงเรื่องนี้ ผมไม่เคยทำงานในบริษัทสตาร์ทอัพ และบริษัทของผมเองก็ไม่ใช่สตาร์ทอัพ…
ไม่ว่าโลกจะหมุนไปเร็วแค่ไหน ความต้องการพื้นฐานในการทำงานร่วมกันของมนุษย์ก็ยังเหมือนเดิม … การสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์ และการทำงานให้เสร็จ
สิ่งที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาคือวิธีการที่ให้ได้มาซึ่งสามข้อข้างบน เราเปลี่ยนเพราะวิธีการใหม่นั้นดีกว่าเดิม เราเปลี่ยนเพราะเรามีทางเลือกมากขึ้น…
คริส ดิ๊กสัน เขียนบทความนี้ไว้อย่างน่าสนใจ … หลักใหญ่ใจความคือ
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งห้าซึ่งได้แก่ แอปเปิ้ล กูเกิ้ล เฟสบุ๊ก อเมซอน และไมโครซอฟท์ มีแนวทางการสร้างรายได้และผลกำไรที่ต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีและปัจจัยภายนอกที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้อยู่อย่างมาก
มันมีสองเหตุผลที่ผลักให้เราเดินไปในเส้นทางแห่งความล้มเหลวในฐานะสมาชิกของทีม ไม่ว่าเราจะอยู่ในตำแหน่งอะไรระดับไหน … สองเหตุผลที่ว่าคือปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน
โอกาสในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเกิดจากการมองความจริงและข้อมูลที่อยู่ตรงหน้าด้วยมุมที่หักเหออกไป