EP3- เกียวโต อินอะเดย์

ไปญี่ปุ่นกันเถอะ ธันวาคม 2022

Pirawadee
ourtrip.cc
5 min readDec 29, 2022

--

Kamo River, Higashimaya, Kyoto

เกียวโตอยู่ห่างจากโอซาก้าเพียง 40 กม. นั่งชินกันเซ็นไปสิบกว่านาทีก็ถึง เราจึงเลือกที่จะเที่ยวแบบ day trip และกลับมาค้างที่โอซาก้า เหตุผลหลักคือขี้เกียจแพ็คกระเป๋า

One Day trip มันดูอะไรไม่ได้มากหรอกดังนั้นอย่าคาดหวังสาระการท่องเที่ยวจากฉันนัก ให้รูปเล่าเรื่อง

มันเป็นการมาเกียวโตครั้งแรกของฉัน แค่เพียงนั่งรถดูเมือง ดูอาคารบ้านเรือนและผู้คนท้องถิ่น ได้ถ่ายรูปมุมต่างๆในเวลาสั้นๆก็อิ่มอกอิ่มใจได้ระดับหนึ่ง การเที่ยวจริงๆต้องมาครั้งที่สอง ที่เราจะต้องใช้เวลากับมันพอสมควร

แม้จะห่างจากโอซาก้าแค่ไม่กี่สิบกิโล แต่ภูมิอากาศก็ต่างกันพอสมควร เกียวโตต้อนรับเราด้วยลมหนาวยะเยือกทันทีที่ก้าวเท้าออกจากรถไฟ แดดวันนี้แรงแสงสวย แต่ลมและความหนาวเย็นไม่ลดลงเลย หน้าสถานีเกียวโต ช่องว่างระหว่างอาคารสมัยใหม่เผยให้เห็นบ้านเรือน และยอดเขาที่เริ่มมีหิมะปกคลุมบางๆ หิมะเพิ่งตกที่เกียวโตก่อนเรามาเพียงวันเดียว

เรานั่งรถเมล์ไปวัดคินคากุจิ หรือวัดเงิน (Ginkaku-ji) ฉันดีใจที่รถเมล์สายที่ขึ้นใช้เวลานานและอ้อมเมือง ทำให้เห็นตัวเมืองเกียวโตทั้งส่วนที่เป็นย่านธุรกิจสมัยใหม่ ย่านบ้านเรือนแบบดั้งเดิม ภูมิทัศน์ริมแม่น้ำกาโม่ รถผ่านสวนพฤกษศาสตร์กลางเมืองก่อนจอดลงที่ป้ายหน้าวัด ลงค่ะลง ให้ไว

เราสี่คนรีบมุ่งหน้าไป Lawson ตรงป้ายรถเมล์ ซื้อของหรือ เปล่า ..ไปฉี่

ในญี่ปุ่น คุณสามารถเข้าห้องน้ำได้ที่ห้างสรรพสินค้า ร้าน 7–11 หรือ Lawson ได้โดยไม่จำเป็นต้องซื้อของ แต่พวกเราเมื่อเข้าร้านแล้วมีหรือที่จะออกมาตัวเปล่า ขนมกรุบกริบในร้านสะดวกซื้อเหล่านี้ อร่อยสมควรซื้อหามากิน หรือกระทั่งเป็นของฝาก (-เดี๋ยวเขียนสักอีพีหนึ่งรีวิวของกินร้านสะดวกซื้อ-)

เดินข้ามถนนเข้าวัด คนเยอะจัง ตำรวจวัดก็เยอะ เขาห้ามใช้ขาตั้งกล้อง รวมไปถึงไม้เซลฟี่ด้วย ซื้อบัตรเข้าวัดแล้วก็เดินไปตามทางที่จัดไว้ ห้ามย้อนศร มุมเอที่ถ่ายรูปคนก็จะเยอะๆหน่อย วัดนี้ชื่อวัดเงิน (Gin แปลว่า เงิน) แต่ตัวอาคารหลักที่อยู่กลางน้ำนั้นเป็นสีทอง อาคารหลังนี้มีสามชั้นเป็นอาคารสร้างใหม่ทดแทนหลังเดิมที่ถูกไฟไหม้ไปในปี 1950 พื้นที่ของวัดเดิมเป็นคฤหาสถ์ของนักการเมืองท้องถิ่นในสมัยโบราณ แล้วทายาทในภายหลังพอตายก็เลยยกให้เป็นวัดพุทธนิกายเซน

แม้นักท่องเที่ยวจะเยอะแต่บรรยากาศดูสงบ รู้สึกเป็นความสงบแบบสบาย ไม่ใช่แบบอึดอัด

การไหว้พระขอพรและการเสี่ยงเซียมซีเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแทบทุกวัด

เหตุผลหลักของการมาวัดเงินตอนเช้าเพราะเราต้องกินมื้อเที่ยงหน้าวัด

สายกินบอกลายแทงมาว่า กุ้งทอดที่ร้านหน้าวัดอร่อยมาก ร้านนี้ชื่อร้านเป็นภาษาญี่ปุ่นฟังได้ความประะมาณว่า ‘คัตซึได’ ร้านเดินต่อจาก Lawson ไปเล็กน้อย

ถ้วยงานั่นมาพร้อมไม้บด อยากบดละเอียดแค่ไหนตามใจ แล้วก็ตักซอสสูตรของทางร้านใส่ลงไป ใช้จิ้มของทอด

คือดีงามสุดๆ ไม่ใช่แค่กุ้งทอดแต่หมูทอดด้วย เนื้อนุ่ม ผิวกรอบแต่ไม่ชุ่มน้ำมันเลย ซอสจิ้มนี่ก็อร่อยมากๆขนาดปกติคุณพี่คุณน้องไม่กินน้ำจิ้ม ยังถึงกับเอ่ยปากชม

Arashiyama มีอะไรในป่าไผ่

ฉันคิดว่าไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนมาเกียวโตแล้วไม่ไปป่าไผ่ ฉันก็เช่นกัน

เรานั่งรถเมล์ยาวจากวัดเงินทางด้านเหนือของเมืองไป Arashiyama ซึ่งอยู่สุดสายรถเมล์ทางตะวันตก ผู้คนไม่รู้มาจากไหนมากมาย ยุ่บยั่บไปหมด นึกขึ้นได้ว่าวันนี้วันอาทิตย์ หลายคู่แต่งชุดกิโมโนมาเดินถ่ายรูปกัน ตรงจุดจอดรถเมล์จะอยู่ริม Katsura River ที่มีต้นสนขนาดใหญ่เรียงราย น้ำในแม่น้ำลดต่ำลงมากเห็นหาดกรวดเป็นทางยาว อีกด้านหนึ่งของถนนเป็นร้านขายของ มีแก๊งรถลาก ลากรถนักท่องเที่ยวไปมา วูบนึงฉันก็คิดอยากไปนั่งอยู่บนนั้นเหมือนกัน

เราไม่ได้เดินไปวัด หรือไปดูลิง แต่เดินมุ่งหน้าไปป่าไผ่ สำหรับฉันแล้ว ทางเดินไปป่าไผ่น่าสนใจกว่าตัวป่าไผ่เอง แต่หนุ่มเดียวในทริปยกให้ป่าไผ่เป็น The most fascination ของทริปทีเดียว

เราต้องเดินไปตามถนนที่มีร้านค้าตบทรัพย์นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ทั้งของกินและของที่ระลึก ฉันขอลูกทัวร์แวะต่อคิวร้านขนมปลาร้านหนึ่งที่มีคิวยาวเหยียดอย่างเกรงใจ แต่ฉันต้องไม่พลาด เพราะเป้าหมายหนึ่งของฉันในการมาญี่ปุ่นคือกินขนมปลา

ขนมปลาหรือไทยากิ เป็นแป้งอบรูปปลา มีไส้ต่างๆ สมัยก่อนมีแต่ไส้ถั่วแดง แต่ยุคใหม่ปรับปรุงเป็นสารพัดไส้ เช่น คัสตาร์ด ช้อคโกแลต ครีมวนิลา หรือกระทั่งแฮมชีส แต่ฉันชอบกินไส้ถั่วแดงกวนเท่านั้น ต่อคิวยาวเหยียดเพื่อสั่งขนมปลา 1 ตัวกับกาแฟร้อน 1 แก้ว ราคาชุดละ 500 เยน (ถ้าไทยากิอย่างเดียวตัวละ 300 เยน) กินแล้วสบายใจ ไปได้ ระหว่างรอเรียกคิวก็เดินไปดูร้านข้างๆ เขาขายปลาตัวจิ๋วทอดปรุงรสต่างๆ อร่อยดี แต่ที่ชอบคือเขาทำชิ้นตัวอย่างให้ชิมเป็นข้าวปั้นเป็นลูกเล็กๆใส่หน้าปลาแล้วห่อแบบท้อฟฟี่ นึกถึงข้าวเหนียวหน้าหมูฝอยมาก

คนญี่ปุ่นดูจะชอบขนมหวานกันมากอยู่ ตลอดทางมีร้านขนมหวานมากพอๆกับร้านขายของที่ระลึก ไม่ว่าจะเป็นดังโงะ สายไหม โมจิไส้ต่างๆ แม้กระทั่งสาเก ที่เจอก็เป็นสาเกหวานแบบร้อน ทดลองซื้อมา 1 แก้วชิมกัน

ถ้าฝรั่งมี Mulled Wine ญี่ปุ่นก็มี Nigori Sake

นิโกริสาเกเป็นสาเกสีขาวขุ่น คล้ายน้ำนม รสชาติหวาน จิบไปร้อนวาบ เหมาะะกับอากาศหนาวสุดๆ ฉันว่าหน้าตาและรสชาติเหมือนมักกอลลีของเกาหลี เพียงแต่ที่เคยกินมักกอลลีจะเป็นเย็น

Nigori Sake แบบร้อน

กว่าจะเดินไปถึงป่าไผ่ก็ชิมโน่นนี่ไปหลายอย่าง กระทั่งปากทางเข้าป่าไผ่มีมันเผา คุณน้องชวนซื้อ แต่สุดท้ายคิดว่าน่าจะไม่ไหวกันละ เลยขอผ่าน

ป่าไผ่ที่อะราชิยาม่า สูง ทึบ โน้มเข้าหากันเป็นอุโมงค์ยาวเหยียด สวยนะเหมาะกับการถ่ายรูปมากๆ แต่ฉันว่าป่าไผ่น่าจะสวยสุดๆตอนหิมะะตกขาวโพลน อันนี้เคยเห็นในรูป

เราเดินไปขึ้นรถไฟเพื่อกลับเข้าไปในเมือง เดินตามซอยเล็กๆ ผ่านบ้านเรือน ร้านค้าชุมชน และร้านขนมปลาที่ไม่มีคนต่อคิวแม้แต่คนเดียว

เจ้าชิบะตัวนั้น ชะเง้อมองนายมันที่หายเข้าไปในดงช้อคโกแลต

Hanazono Station ตอนเย็นบรรยากาศดี ชานชาลาฝั่งตรงข้ามเหมือนจะเป็นรถไฟนำเที่ยว มีตู้โดยสารที่เป็น Open Air (เหมือนตามสวนสนุก) และหัวรถจักรสุดเท่ แสงอาทิตย์ตอนเย็นที่ชานชาลาสถานีมลังเมลืองมาก

ฉันบอกสมาชิกว่าคืนนี้ไปกินแถวย่านประวัติศาสตร์ที่ชื่อ Hanamikoji กัน

Hanamikoji Street

Hanamikoji เป็นถนนในย่าน Gion (จริงๆน่าจะเรียกว่าซอย) มีซอยแยกเล็กๆที่ผิวพื้นเป็น cobbled stone อาคารแถวนี้เป็นอาคารอนุรักษ์ ด้านหน้าที่ติดถนนจะทำแผงไม้ที่เรียกว่า kimusuko บังสายตากับแผงไม้ไผ่กันหนาวเรียกว่า inuyarai สองอย่างนี้จะบังอาคารด้านในที่ในสมัยก่อนเป็นโรงน้ำชา ที่มีเกอิชา

Hanamikoji Street

ร้านราเมงลับใน Gion

เดิมคุณพี่แจ้งว่าขอกินร้าน Omurice ในเกียวโต แต่ตอนเดินๆกันไป เราทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากกินราเมง ฉันเปิดแผนที่เลือกร้านแล้วก็เดินไป อีกแล้ว! พอเดินไปถึงเราหาร้านไม่เจอความที่ในซอยนั้นดูเงียบสงบ ไม่มีสัญญาณ หรือสัญญลักษณ์ใดบ่งบอกว่าร้านใดเป็นร้านอาหาร เราดูแผนที่อีกครั้ง ดูรูปในแผนที่ แล้วตัดสินใจเลื่อนประตูไม้เล็กๆบานหนึ่งที่หน้าตาเหมือนในรูปมากที่สุด

ใช่จริงๆด้วย พนักงานหนุ่มหล่อมากๆเดินมาส่งภาษา เรายกมือทำเครื่องหมายว่า 4 ที่ เขาพยักหน้าแล้วพาเราเดินเข้าไปด้านใน ด้านในเป็นห้องโล่งๆยกพื้นสองฝั่ง ตรงกลางเป็นทางเดิน เราต้องถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนั่งบนพื้นที่มีโต๊ะแบบญี่ปุ่น มีลูกค้าอยู่แล้วสองโต๊ะ ทุกอย่างเงียบ ไม่มีเสียงคุยกัน นอกจากเสียงสูดเส้นราเมง

ที่นี่มีเมนูภาษาอังกฤษ เราสั่งราเมงคนละอย่างไม่เหมือนกัน หนุ่มเดียวสั่งแบบที่มีไข่ด้วย ซึ่งสุดหล่อเปิดวุ้นแปลภาษาถามเราว่า กินไข่ดิบได้มั้ย เราบอกได้ (แต่ตอนราเมงมา ไข่มันก็สุกแบบไข่ลวก ไม่ได้ดิบอะไร) บนโต๊ะ มีโชยุ 1 ขวดกับกระบอกไม้ไผ่เล็กๆสั้นๆที่มีไม้เสียบอยู่ 1 อัน ทุกคนสงสัยมากว่ามันคืออะไร หรือจะเป็นที่วางตะเกียบ แต่ทำไมมีอันเดียว สุดหล่อมาเฉลยว่ามันคือที่ใส่พริกป่น ฉันลองเหยาะดู เผ็ดจริงจัง

เราสั่งสาเกมากินด้วย เป็นสาเกร้อน ราเมงอร่อยแบบไม่รู้จะบรรยายยังไง ผู้คนแทบไม่มีใครคุยกัน มีแต่เสียง ซู้ด ซู้ด

ตอนลุกออกไปจ่ายตังค์ เราบอกโอบะซังที่นั่งเก็บตังค์อยู่หน้าร้านว่า โออิชิเดส โอบะซังยิ้มแก้มแทบแตกพร้อมกับพูดอาริกาโตะตลอดเวลา

ร้านราเมงชื่อ Gion Gombei ในย่าน Gion ของเกียวโต

เกียวโตต้องมีครั้งที่ 2, 3, … บอกแล้วว่า ญี่ปุ่นมาได้เรื่อยๆ

อ่านย้อนหลัง

EP1-นิฮอนนิกิมาชอ 日本に行きましょう

EP2- อิซะกายะ ทาโกะยากิ และกลิโกะแมน

--

--

Pirawadee
ourtrip.cc

Owner of the project management consultancy firm, former lecturer in project construction management, traveler and blogger