รวมเนื้อหาเพื่อการศึกษา Soft Skills
แนวทางที่ช่วยทำให้เรามีความสุขกับการทำงานมากขึ้น ทำให้เป็นสังคมที่น่าทำงานมากขึ้น น่าอยู่มากขึ้น สามารถพูดคุย สื่อสาร ประสานงานกันได้อย่างมีความสุข มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นครับ
ทำไมเราถึงควรศึกษา Soft Skills
ทักษะในการทำงานแบ่งได้หลักๆอยู่สองประเภท คือ Hard Skill กับ Soft Skill
Hard Skills
คือ Skill ตาม Job Description ของเราที่ต้องใช้เพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมาย
แต่เอาเข้าจริงเรายังต้องการ Skill ที่มากกว่านั้นเพื่อทำให้งานเสร็จได้ เช่นการสื่อสารทั้งกับเพื่อนร่วมงานในทีม / ทีมอื่นๆ, การทำความเข้าใจ เจรจาต่อรองในเนื้อหาของงานที่ได้รับมอบหมาย
Soft Skills
จะช่วยทำให้เรามีความสุขกับการทำงานมากขึ้นครับ เพราะช่วยเราปรับมุมมอง ปรับวิธีคิดของเราให้สามารถจัดการกับสถานะการต่างๆได้อย่างเข้าใจแท้จริงและมีประสิทธิภาพ รวมถึงยังช่วยให้เรามองโลกในแง่บวกอีกด้วย เพราะมองอะไรเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น
ในบทความนี้จึงอยากรวบรวมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ Soft Skills เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้เบื้องต้นกันนะครับ โดยเป็นเนื้อหาที่ผมเคยอ่านผ่านตามาทั้งหมดแล้วและมองเห็นว่าง่ายต่อการเรียนรู้ เห็นภาพที่เกิดขึ้นจริง
แนะนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
Feedback is a gift
Feedback คืออะไร
คือ ของขวัญ (Gift) ที่เป็นเสียงสะท้อนต่อความคาดหวังของผู้ให้ ที่ตั้งใจมอบให้เป็นประโยชน์ต่อผู้รับ เพื่อที่ผู้รับสามารถที่จะพัฒนาตัวเองเพิ่มมากขึ้นจากผลของสิ่งที่ผู้รับได้พึงกระทำ
Feedback ที่ดีต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
- ไม่ตัดสินว่าสิ่งที่ผู้รับทำนั้น “ถูกหรือผิด” ณ สถานะการนั้น (Situation)
- แต่พยายามสังเกตุ สอบถาม และทำความเข้าใจผู้รับถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการกระทำนี้(Behavior)
- รวมถึงอริบายถึงผลที่ผู้รับกระทำนั้นก่อให้เกิดผลเสีย (Impact) อย่างไรบ้าง
- หลังจากนั้นทีมร่วมกันหาวิธีปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุการในลักษณะนี้อีก
ตัวอย่าง
- S = ประชุมเมื่อเช้า
- B= นาย A มาไม่ทันประชุม
- I= ทีมต้องรอนาย Aเป็นเวลา 20 นาที
- เสร็จแล้วก็ให้ feeback ที่ช่วยกันคลายปัญหา เช่น เสนอให้ประชุมช้าลง, สอบถามว่าทำไมมาสาย ทีใช่วยไงได้บ้าง
แนะนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
การทำงานเป็นทีม
“ Coming together is a beginning, staying together is progress, and working together is success. ”
- Henry Ford and Edward Everett Hale
แนะนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ศิลปินกับหัวหน้า
- อยากให้ลูกน้องเชื่อถือหัวหน้า?
- เข้าใจพื้นฐานการพัฒนาทีมด้วย Tuckman’s stages of group development
- “อยากให้งานเสร็จเร็ว: อย่าให้ Developer ทำงาน Multitask
- Checklist ของผม (Technical coaching and Team coaching)
- หัวหน้าแบบไหนที่จะพาทีมล่มจ่ม
- สอนว่ายน้ำ ไม่ควรถีบตกน้ำ มารู้จัก “การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์” กันนะ
- ทำไมหัวหน้าไม่เคยฟัง อาจเพราะว่าคุณไม่มี Vendor mindset. (Vendor mindset Mindset that Employers need.)
- เห็นด้วยและให้คำมั่นสัญญา ไม่เห็นด้วยและให้คำมั่นสัญญา ( Agree and Commit — Disagree and Commit)
- พื้นที่ปลอดภัย ความมั่นคงทางใจ : กุญแจสำคัญของ -> TEAM
- เถียงเรื่อง Technical Design กันไม่จบซักที ทำไงดี?
- ผู้นำที่ดี คือผู้นำที่รักษาไม่ให้เกิด 5 จุดบอดที่ทำให้ทีมทำงานด้วยกันไม่ได้
- 7 ขั้นตอนของการตัดสินใจร่วมกัน ด้วย Delegation Poker
Nonviolent Communication
การสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication) คือการตัดอารมณ์ออกไปเพื่อไม่ให้คิดไปเอง แต่จับไปที่ความรู้สึก ความต้องการ และสิ่งที่อยากร้องขอ ของคนพูดและฟัง เปิดให้แสดงความต้องการอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ไม่โทษหรือโยนความผิดไปให้คนอื่น ซึ่งประกอบไปด้วย
การสังเกต (Observation)
การหาหลักฐาน/ข้อมูลดิบหลักการสำคัญในเรื่องนี้ คือ การใช้เฉพาะสิ่งที่เป็นข้อมูลจริงๆที่มีการระบุรายละเอียด และจับต้องได้ โดยปราศจากความเห็นหรือการให้น้ำหนัก ใดๆ
ความรู้สึก (Feeling)
การระบุให้ชัดเจนว่าเรารู้สึกอย่างไร กับเรื่องนี้
ความต้องการ (Need)
ความต้องการที่เป็นพื้นฐานของ ความรู้สึกนี้
คำขอ (Request)
ขอให้อีกฝ่ายลงมือทำเพื่อบรรลุความ ต้องการนั้นๆ
ตัวอย่าง
- “น้องพล แม่เห็นถุงเท้าใช้แล้ววางกองอยู่ใต้โต๊ะกาแฟ” (Observation)
- “แม่ ไม่ชอบเลย” (Feeling)
- “เพราะแม่อยากให้ห้องที่ทุกคนใช้ร่วมกันเป็นระเบียบกว่านี้” (Need)
- “ลูกจะเอาถุงเท้าไปเก็บในห้องตัวเองหรือใส่ลงเครื่องซักผ้าได้ ไหม” (Request)
ภาษาหมาป่า
เตะบอลกันแบบนี้ในห้องเรียนแย่มาก ทำไมถึงทำแบบนี้
ภาษายีราฟ — การสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication)
เด็กๆรู้ไหมว่าคุณครูให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของทุกๆคนมากที่สุด คุณครูเป็นห่วงว่าการเตะบอลในห้องเรียนอาจจะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้
- เมื่อเด็กๆได้ฟังภาษายีราฟก็จะทำให้เข้าใจถึงความเป็นห่วงและหวังดีที่คุณครูมีให้ และหยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่อย่างสมัครใจ
แนะนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ตอนที่ 1: การสังเกต ไม่ใช่การตีความ (การสื่อสารแบบ Empathy)
- ตอน 2 ความรู้สึก ไม่ใช่ ความคิด (รู้เค้า รู้เรา คุย 100 ครั้ง เข้าใจ 100ครั้ง)
- ตอน 3 ความต้องการ ไม่ใช่ วิธีการ (อยากได้อะไรให้บอกมา)
- ตอนจบและตอนแถม การร้องขอ ไม่ใช่ การเรียกร้อง และ ภาษาหมาป่า ภาษายีราฟ
- หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ
Empathic Communication
การสื่อสารอย่างเห็นใจ (Empathic Communication)
- เพิ่มความใส่ใจ และลดการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
- เปิดกว้างรับฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูดให้มากกว่าที่เป็นอยู่
- ละเว้นการตัดสิน ประเมินค่าสถานการณ์ และชะลอการให้คำแนะนำ
- ‘ฟัง’ ให้มากขึ้น พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ในมุมของผู้อื่น และมีความอดทนที่จะฟังคนอื่นพูดจนกระทั่งเขาพูดจบ
- นอกจากรับฟังถึงบทสนทนาที่เป็นภาษาพูดเชิงข้อมูลแล้ว ลองพยายามที่จะฟังให้ลึกถึงสิ่งที่ภาษาพูดไม่สามารถสื่อออกมาได้
- ลองเช็กกับคู่สนทนาดูว่าสิ่งที่ตัวเองเข้าใจผ่านอวัจนภาษานั้นถูกต้อง พยายามอย่าด่วนสรุปสมมติฐานเอาเอง
แนะนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
สรุป
ส่วนตัวผมเป็นคนชอบสะสมบทความที่น่าสนใจไว้เรื่อยๆ เลยคิดว่าถ้ามีโอกาสได้นำมาสรุปรวมและแบ่งปันกัน น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้มากขึ้นนะครับ
Happy Coding and Living : )
นายป้องกัน